‘Bitcoin ETF’ ความหวังของวงการคริปโทเคอร์เรนซี ในที่สุดก็ได้รับการอนุมัติจากก.ล.ต. สหรัฐหรือ SEC เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 10 ม.ค. ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นทะลุ 47,000 ดอลลาร์/BTC ในช่วงเช้าที่ผ่านมา และยังพาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีสกุลอื่นๆ เขียวยกแผงอีกด้วย
SEC ได้เปิดเผยผ่านประกาศเมื่อวันที่ 10 ม.ค. ที่ผ่านมา ถึงการอนุมัติคำขอจัดตั้งกองทุน ETF บิตคอยน์ของ 11 บริษัท อาทิ Blackrock, Fidelity, VanEck ถือเป็นก้าวสำคัญของการเชื่อมต่อเงินทุนจากตลาดทุนเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรก็ดี นาย Garry Gensler ประธานก.ล.ต. สหรัฐฯ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่เห็นด้วยกับสินทรัพย์ดิจิทัล กล่าวว่า “เราไม่ได้อนุมัติหรือสนับสนุนบิตคอยน์ นักลงทุนยังคงต้องระวังความเสี่ยงอย่างมหาศาลที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ และผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่ายึดโยงกับคริปโทเคอร์เรนซี”
หลังการอนุมัติดังกล่าว ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีได้มีปฏิกิริยาเชิงบวกต่อข่าวดีนี้ และส่งผลให้เหรียญสกุลต่างๆ บวกยกแผง นำโดย ‘บิตคอยน์’ ซึ่งจะได้รับผลดีโดยตรงจากการซื้อขายกองทุน ETF ที่จัดตั้งขึ้น ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์พุ่งทะลุ 47,000 ดอลลาร์เป็นช่วงสั้นๆ ของเช้าวันนี้ ด้านราคาเหรียญสกุลใหญ่ๆ ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน ก่อนจะเริ่มปรับตัวลดลงมาเล็กน้อยในช่วงบ่าย โดยราคาของเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี 10 อันดับแรก ณ เวลา 13.45 น. จากเว็บไซต์ CoinMarketCap (ไม่รวม Stable Coin) เป็นดังนี้
นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered คาดการณ์ว่า การออกกอง ETF บิตคอยน์จะช่วยดึงเม็ดเงินเข้าสู่แวดวงคริปโทเคอร์เรนซีได้ 5 หมื่น - 1 แสนล้านดอลลาร์ (1.75 แสนล้าน - 3.5 ล้านล้านบาท) นับเฉพาะในปีนี้ ตอกย้ำถึงการเฝ้ารอของนักลงทุน
ด้าน Douglas Yones หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ซื้อขายแลกเปลี่ยนของตลาดหุ้นนิวยอร์กเผยว่า การอนุมัติการจัดตั้งกองทุน ETF บิตคอยน์ในครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการ ด้านผู้บริหารของ Fidelity หนึ่งในสถาบันการเงินที่ได้รับการอนุมัติจัดตั้ง ETF บิตคอยน์เผยว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เหล่านี้จะช่วยเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนที่สนใจการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี
นอกจากผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงราคาของบิตคอยน์แล้ว ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดว่า การเปิดประตูให้กับ ETF บิตคอยน์ในครั้งนี้ อาจนำไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ อยากเช่น ETF อีเธอเรียม และจะเป็นงานที่ยากขึ้นสำหรับ SEC ที่จะปฏิเสธคำขออนุมัติต่างๆ ที่เกี่ยวกับคริปโทที่จะตามมาในอนาคต
เนื่องจากกอง ETF บิตคอยน์ ทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้นสามารถเข้าถึงบิตคอยน์ได้แม้จะไม่มีบัญชีเทรดคริปโท ดังนั้น คนไทยที่สนใจลงทุนในกอง ETF บิตคอยน์ก็สามารถลงทุนผ่านโบรกเกอร์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐได้เช่นกัน
คุณ นายอภินัทธ์ เดชดอนบม นักวิเคราะห์จาก บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด เผยว่า สำหรับนักลงทุนรายย่อยแล้ว การลงทุนในบิตคอยน์โดยตรงจะมีข้อดีมากมากกว่าเพราะสามารถเปิดบัญชี และซื้อขายได้ผ่าน Exchange ได้โดยตรง ไม่ต้องเสียค่าบริหารกองเพิ่มเติม และยังได้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของบิตคอยน์ จากความสามารถในการถอนบิตคอยน์ออกมาเก็บไว้ใน Cold Wallet ได้ด้วย อย่างไรก็ดี การลงทุนผ่าน ETF บิตคอยน์จะได้เปรียบกว่าการซื้อขายบิตคอยน์กับ Exchange ตรงนี้สถาบันที่เปิดกอง ETF จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า และความเสี่ยงในการปิดตัว หรือล้มละลายน้อยกว่า Exchange มาก
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ ETF บิตคอยน์นี้ จะตอบโจทย์สถาบันการเงินในการจัดทำกองทุน ทำให้สามารถลงเงินบางส่วนในบิตคอยน์ผ่าน ETF ได้, เหมาะกับนักลงทุน High Net Worth ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแแล หรือบริษัทที่อยากเก็บบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ใน Balance Sheet ก็จะสามารถเก็บในรูปแบบของ ETF ทำให้ไม่ต้องยุ่งยากในเรื่องเอกสาร นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผลิตภัณฑ์ ETF บิตคอยน์จะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องตาต้องใจของนักลงทุนรายใหญ่ และนักลงทุนสถาบัน
ส่วนด้านการเคลื่อนไหวของราคานั้น ETF บิตคอยน์จะมีระดับราคาเท่ากับบิตคอยน์ ต่างกันตรงนี้การซื้อบิตคอยน์โดยตรงจาก Exchange จะสามารถซื้อขายได้ 24 ชม. แต่การซื้อขาย ETF จะทำได้ตามเวลาเปิด-ปิดของตลาดหุ้น
ข้อมูลจาก ‘Bitcoin ETF Tracker’ ของ Blockworks และเอกสารจาก SEC เผยว่า กองทุน spot ETF บิตคอยน์ที่ได้รับการอนุมัติจาก SEC นั้นมีทั้งหมด 11 กอง ดังนี้
โดยนักวิเคราะห์ ETF จาก Bloomberg ‘James Seyffart’ เผยว่า กอง ETF บิตคอยน์อาจเริ่มเปิดให้ซื้อขายกันได้ในวันที่ 11 ม.ค. นี้ หรือวันรุ่งขึ้นหลังจากการมีมติอนุมติจาก SEC
ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. Reuters รายงานว่า นักลงทุนแห่เทรด ETF บิตคอยน์มูลค่ารวมกว่า 1.6 แสนล้านบาทแล้วในวันแรกของการเปิดให้เทรด โดยกองที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุดนั้น ตกเป็นของกอง ETF จาก Grayscale, Blackrock และ Fidelity อย่างไรก็ดี ราคาบิตคอยน์ตลอดทั้งวันนี้ปรับตัวลดลงมาเคลื่อนไหวอยู่ที่แถว 45,000 - 46,000 ดอลลาร์/BTC
ที่มา : Cointelegraph, CNN, Reuters