ราคาทองคำยังมีแววได้ไปต่อ นักวิชาการมองผลกระทบสงครามรัสเซีย ส่งผลตลาดการเงิน - เศรษฐกิจผันผวนระยะยาว-พิษเงินเฟ้อ กดดันทั่วโลกแห่ตุนทองคำ
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต เปิดเผยว่า สัญญาณจุดเปลี่ยนระบบการเงินโลกครั้งใหญ่ทะยอยเพิ่มขึ้น หลัง ตลาดลอนดอนซื้อขายโลหะมีค่า (London Metals Exchange - LME) อาจยุติซื้อขาย ทองคำ เงิน และ นิกเกิลในตลาดซื้อขายอนาคตล่วงหน้า (Gold-Silver Future) หลังจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเงินต่อกันของพันธมิตรชาติตะวันตกและระบอบปูตินรัสเซีย ทำให้ ธุรกรรมการซื้อขายของโลหะมีค่า ทั้ง “ทองคำ เงิน และ นิกเกิล” ซบเซาลงอย่างมาก
การซื้อขายสัญญาทองคำในตลาดล่วงหน้าโดยสถาบันยักษ์ใหญ่ชาติตะวันตกอย่าง สถาบันการเงินสัญชาติอังกฤษ HSBC สถาบันการเงินสัญชาติอเมริกันอย่าง Citi, JP Morgan Chase, Morgan Stanley ล้วนใช้การกู้ หรือ Leverage ในอัตราสูง และ ธุรกรรมในตลาดการเงินมีขนาดใหญ่กว่า การซื้อขายทองคำจริง หลายเท่าตัว
ราคาทองผันผวนหนัก จากการเก็งกำไร
นอกจากนี้ การซื้อขาย หรือ Trade ตราสารอนุพันธ์ทั้งหลายก็มีการเก็งกำไรและซื้อขายทองคำ หรือ Trade สูงกว่า ทองคำที่ผลิตได้หลายเท่าตัว เมื่อธนาคารกลางรัสเซียเพิ่มการเก็บทองคำหลังจากถูกคว่ำบาตรทางการเงิน และ รัสเซียมีเหมืองทองคำและผลิตทองคำได้เป็นอันดับ 2 รองจากจีน อยู่ที่ประมาณ 330-332 ตัน จีนอยู่ที่ 368-370 ตัน ออสเตรเลีย 327-330 ใกล้เคียงรัสเซีย
LME นั้นเป็นตลาดซื้อขายสินค้า 3 ประเภทหลัก คือ โลหะมีค่า (ทองคำ เงิน นิกเกิล) เหล็กแท่ง และ พลาสติก มีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ ใช้เป็นราคาอ้างอิงการซื้อขายโลหะนอกกลุ่มเหล็กมากกว่า 90% รวมทั้ง มีบทบาทสำคัญในการบริหารความเสี่ยงด้านราคา (Hedging) ผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทั้ง สัญญา Future สัญญา Forward และ สัญญา Option มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะ Short Squeeze ของสัญญาซื้อขายทองคำ เพื่อปิดสัญญา Short Sell และส่งมอบทองคำจริง
ภาวะดังกล่าวจะทำให้ราคาทองคำผันผวนหนัก หากราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้นตามอุปสงค์ที่เกิดขึ้นจริง นักลงทุนรายใหญ่ที่ทำ Short Sell ต้อง Cut Loss เพื่อลดความเสียหายด้วยการยอมเข้าซื้อราคาทองคำในราคาที่สูงมากเพื่อนำทองคำส่งมอบตามสัญญา Short Sell ขณะนี้ มีการเข้าซื้อเพื่อเก็บทองคำจริง (Physical Gold) เพิ่มขึ้น ทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่มีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิมในระบบบการเงินโลกและระบบอัตราแลกเปลี่ยนโลก
เสริมแรงด้วยการชะลอใช้ Basel III
นอกจากนั้น ความเคลื่อนไหวชะลอบังคับใช้ Basel III ส่งผลต่อสภาพคล่องตลาดทองคำโลกอยู่บ้าง ราคาทองคำจะผันผวนรุนแรงทั้งขึ้นและลงไม่ต่ำกว่า 30% ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า ส่งผลกระทบต่อระบบเงินรูเบิลรัสเซียซึ่งผูกกับราคาทองคำ มีการเลื่อนบังคับใช้ Basel III ของธนาคารกลางอังกฤษไปต้นปี 68 (ให้ สถานะทองคำเป็น สินทรัพย์ Tier-1 เทียบเท่า เงินสด และ การ Trade ทองคำต้องมีทองคำจริงสำรองไว้ในสัดส่วนตามปริมาณที่กำหนดในสัญญา) การปิดกั้นไม่ให้รัสเซียใช้ระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ Swift (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) และการอายัดทรัพย์สิน และ ทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียจำนวนมาก หลังประธานาธิบดีปูติน สั่งรุกรานยูเครน ทำให้เกิดความไม่มั่นใจต่อระบบการเงินโลกในปัจจุบัน
Basel III นั้น เป็นหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงินของ Basel Committee on Banking Supervision (BCBS) ซึ่งครอบคลุมเรื่องการดำรงเงินกองทุนและการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมให้สถาบันการเงินสามารถต้านทานภาวะวิกฤตในระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจได้ดีขึ้น พร้อมทั้งลดการส่งต่อความเสี่ยงจากระบบการเงินไปยังภาคเศรษฐกิจจริงด้วย โดย หลักเกณฑ์ Basel III ถูกพัฒนาขึ้น หลังเกิดวิกฤติการเงินโลกปี ค.ศ. 2007-2008 (พ.ศ. 2550-2551) เน้นไปที่การควบคุมธุรกรรมที่มีความซับซ้อนสูง กำกับเงินกองทุนและการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องให้เข้มงวดขึ้น
ปัญหาวิกฤติการเงินโลกครั้งใหม่เกี่ยวพันกับการอายัดทรัพย์สิน การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและการขาดแคลนวัตถุดิบ การเลื่อนการใช้ Basel III และการเก็งกำไรในสินทรัพย์ดิจิทัล รวมทั้ง ผลกระทบจากสงครามต่อภาคการเงินและสถาบันการเงิน สิ่งเหล่านี้ จะนำไปสู่การจัดระเบียบระบบการเงินโลกใหม่
คว่ำบาตรรัสเซีย ทำเศรษฐกิจและระเบียบการเงินสั่นคลอน
ความเสี่ยงด้านเครดิต และ ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ของรัสเซียเป็นผลจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการอายัดทรัพย์สินเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการยุติสงครามและยุติการคว่ำบาตร โดยหากปล่อยให้ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของรัสเซียทรุดตัวลงเรื่อย ๆ จากการทำสงคราม และ ไม่มีการยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจภายใน 1 ปี เชื่อว่า การผิดนัดชำระหนี้ของรัสเซียจะเพิ่มมากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อภาคการเงินโลกได้ในที่สุด
ตลาดการเงินและเศรษฐกิจยุคสงครามยังคงผันผวนไปอีกนาน จนกว่าระเบียบใหม่ทางเศรษฐกิจและระเบียบการเงินถูกสถาปนาสำเร็จ โดยดอลลาร์สหรัฐอเมริกายังเป็นเงินสกุลหลักของโลกแต่ลดความสำคัญลง ในขณะที่ทองคำมีบทบาทมากขึ้น โดยบางประเทศอาจจะกลับไปใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบปริวรรตทองคำมากขึ้น
ราคาโลหะมีค่ายังไปได้ต่อ
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวล่าสุดของประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริการในการส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในเดือน พ.ค. นี้ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างมาก ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับเพิ่มขึ้นพร้อมอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 5 ปีปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน ทะลุ 3% และมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรอายุ 30 ปี ภาวะ Yield Curve Inversion นี้สะท้อนว่า ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไม่ดีนัก ช่องว่างอัตราดอกเบี้ยลดลงระหว่างสหรัฐฯ จีนและไทย ทำให้เงินหยวน และ เงินบาทอ่อนค่าลง หากอ่อนค่ามากระดับหนึ่งอาจกระตุ้นให้เงินไหลออกมากขึ้นจากตลาดการเงินจีนและไทย
ราคาหุ้นร่วงแรง ดัชนีดาวโจนส์ปรับลงวันเดียว 900 กว่าจุด ต่ำสุดในรอบ 2 ปีตั้งแต่ปี 63 ราคาทองคำปรับฐานลงระยะสั้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นเร็วขึ้นทำให้ต้นทุนการถือหรือลงทุนโลหะมีค่า มีต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) เพิ่มขึ้น
ฉะนั้น ราคาโลหะมีค่า ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ ทองคำขาว เงิน และ โลหะเหล็ก นิกเกิล ยังมีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อไป ขณะเดียวกัน นักลงทุนและประชาชนจะถือหรือลงทุนในทองคำในภาวะเงินเฟ้อสูงและผลจากสงครามยูเครน อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นมีผลต่อการชะลอขาขึ้นของราคาทองคำไม่มากนัก