Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เศรษฐกิจจีนส่อแววฟื้นตัวช้า ราคาทองคำจะไปต่ออย่างไร?  
โดย : ฐิภา นววัฒนทรัพย์

เศรษฐกิจจีนส่อแววฟื้นตัวช้า ราคาทองคำจะไปต่ออย่างไร?  

29 ก.ค. 66
09:00 น.
|
248
แชร์

ในช่วงต้นปีที่ทางการจีนมีการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ หลังใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เข้มงวดตลอดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หลายฝ่ายคาดว่า การเปิดประเทศของจีนนั้นจะช่วยให้เศรษฐกิจโลกมีแรงหนุนต่อการเติบโตที่สำคัญ และสำหรับตลาดทองคำนั้น การเปิดประเทศของจีนยังนับว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ เนื่องด้วยจีนนับเป็นประเทศที่มีการบริโภคทองคำรายใหญ่ของโลก ดังนั้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจึงถูกมองว่าจะช่วยกระตุ้นการซื้อขายในตลาดทองคำให้เพิ่มสูงขึ้น

อีกประการหนึ่ง แนวโน้มที่สดใสของเศรษฐกิจจีนนั้นยังช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐได้รับมุมมองเชิงบวกที่ลดลงโดยเปรียบเทียบ ซ้ำเติมแนวโน้มการเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่ถูกคาดการณ์เป็นวงกว้าง ด้วยเหตุนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจึงมีแนวโน้มกดดันเงินดอลลาร์ให้อ่อนตัวลงได้ ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์ดังกล่าวด้วยเช่นกัน 

แต่ทว่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ผลปรากฎว่า การเปิดประเทศดังกล่าวนั้นสร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจโลกได้เพียงแค่ไตรมาสแรก ขณะที่ไตรมาสถัดมา เศรษฐกิจจีนกลับส่งสัญญาณชะลอตัวลงจนสร้างความผิดหวังให้กับตลาด โดยตลอดช่วง 3 เดือน ในไตรมาส 2 ปี 2023 เศรษฐกิจได้ส่งสัญญาณเชิงลบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ผ่านตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาย่ำแย่กว่าคาดการณ์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบางส่วนของภาคเศรษฐกิจยังส่อแววเกิดปัญหาที่จะฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนลงไปอีก

แม้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของเศรษฐกิจจีนนั้น ทำให้มุมมองเชิงบวกต่อตลาดทองคำที่เคยถูกคาดการณ์ไว้นั้นอาจไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ใช่ว่าสถานการณ์ดังกล่าวนั้นจะไม่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับราคาทองคำ ในทางตรงกันข้าม เศรษฐกิจที่ทำท่าซบเชากว่าที่คาดของจีนนั้นกลับสร้างผลบวกต่อราคาทองคำได้เช่นกัน

เศรษฐกิจจีน

จีนเปิดประเทศ ความหวังของเศรษฐกิจโลกและตลาดทองคำ

ย้อนกลับไปในช่วงการเริ่มต้นในการเปิดประเทศอย่างเป็นทางการจีน หลังมีการดำเนินมาตรการมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เข้มงวดตลอดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หลายฝ่ายฝากความหวังไว้ที่การเติบโตของเศรษฐกิจจีน เพื่อให้พยุงการเติบโตเศรษฐกิจโลก เนื่องด้วยช่วงเวลาดังกล่าว เศรษฐกิจทั้งสหรัฐและสหภาพยุโรปถูกคาดการณ์ว่าจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะสหรัฐที่เผชิญกับภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่รุนแรงเป็นประวัติการณ์

แนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจจีนดังกล่าวถูกคาดว่า จะเป็นอีกปัจจัยหนุนของราคาทองคำในปีนี้ เนื่องด้วยจีนถูกจัดให้เป็นประเทศบริโภคทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลกนับตั้งแต่ปี 2013 ฉะนั้น เมื่อเศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้น กำลังซื้อและความเชื่อมั่นในการจับใช้สอยก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจากแรงซื้อที่เพิ่มมากขึ้น หากเศรษฐกิจจีนสามารถกลับมาฟื้นตัวได้

ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 1 ตัวเลขเศรษฐกิจจีนก็ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี สะท้อนผ่านตัวเลขการเติบโตของ GDP ที่ 4.5% สูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 4.0% สอดคล้องกับตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (PMI) สามารถกลับมายืนเหนือระดับ 50 ได้ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ และมีการปรับตัวขึ้นตลอดช่วงไตรมาสแรก ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า ลดแรงกระตุ้นเงินเฟ้อทั่วโลก

เมื่อเข้าไตรมาสที่ 2 ตัวเลขเศรษฐกิจอย่าง PMI ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการมีการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขยอดค้าปลีกที่แม้จะปรับตัวขึ้น 18.4% ในเดือนเม.ย. แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี แต่ก็นับว่าต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 21.0% และหลังจากนั้นตัวเลขดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นอย่างชะลอตัวลงในเดือนพ.ค. และมิ.ย. ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่ชะลอตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ทั้ง 3 เดือน

ขณะที่ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (17 ก.ค.) มีการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ไตรมาส 2 ปี 2023 ของจีน ที่ขยายตัว 6.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2022 ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 7.3% ขณะที่ตัวเลขยอดค้าปลีก เดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 3.1% จากเดือนก่อนหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ และชะลอตัวลงอย่างหนักจากระดับ 12.7% ในเดือนพ.ค. ซึ่งนับเป็นอีกครั้งที่ตลาดต้องผิดหวังต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

นอกจากตัวเลขข้างต้นแล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจรายการอื่นของจีนก็ออกมาสอดคล้องกับทิศทางดังกล่าวเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี แม้การฟื้นตัวที่ไม่สู้ดีดังกล่าวอาจทำให้มีการวิตกกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเพิ่มมากขึ้น แต่การฟื้นตัวในลักษณะเช่นนี้ อาจเป็นส่วนช่วยในการชะลอตัวของภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก

นักเศรษฐศาสตร์เคยให้คาดการณ์ไว้ว่า เงินเฟ้อทั่วโลกอาจจะมีการเร่งตัวขึ้น จากแนวโน้มการบริโภคพลังงานที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งการบริโภคโดยตรงจากจีน รวมถึงการบริโภคทางอ้อมจากประเทศที่มีความเกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจกับจีน ซึ่งการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานยังมีผลกระทบให้ราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคปรับตัวขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency) เคยให้คาดการณ์ไว้ว่า การเปิดประเทศของจีนจะมีส่วนดันให้ความต้องการใช้น้ำมันพุ่งสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 101.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่คาดการณ์ราคาน้ำมันถูกปรับขึ้นไปแตะที่ระดับ 95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ภายในสิ้นปี 2023 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ราว 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนการเปิดประเทศของจีน

ดังนั้น การที่เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างชะลอตัว จึงมีส่วนให้ราคาพลังงานไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากดังที่เคยคาดการณ์ไว้ สะท้อนผ่านการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับต่ำ แม้มีการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ก็ตาม

เงินเฟ้อชะลอตัว ดอกเบี้ยไม่ขึ้น ปัจจัยหนุนราคาทองคำ

ตัวเลขเงินเฟ้อที่ไม่ได้เร่งตัวขึ้น นับเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางหลายแห่งไม่มีความจำเป็นต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเช่นที่เกิดขึ้นในปี 2022 โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ถูกคาดการณ์ว่า อาจมีการยุติวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ภายหลังการปรับขึ้นสู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือนก.ค. นี้ ตามตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงในเดือนพ.ค. และมิ.ย. 

เจอโรม พาวเวล FED

ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ ประเมินว่า การเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้น้ำมันและราคาน้ำมันสามารถดันให้เงินเฟ้อสหรัฐปรับตัวขึ้นได้ราว 0.5% ทำให้ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำจึงช่วยให้ภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐชะลอตัวลง

จากที่กล่าวไปในข้างต้น หากเฟดดำเนินนโยบายการเงินตามคาดการณ์นั้น จะทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องด้วยทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปของอัตราดอกเบี้ย การยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจึงจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสของการถือครองทองคำนั้นลดลงโดยเปรียบเทียบ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มถูกกดดันจากผลตอบแทนในรูปอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงโดยเปรียบเทียบเช่นกัน

อย่างไรก็ดี แนะนำติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของทางการจีน หลังเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหน้าที่ของทางการได้ออกมาให้คำมั่นสัญญาที่จะดำเนินการเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นการใช้จ่ายภายในให้เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง แล้วยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งอาจต้องติดตามต่อไปว่า มาตรการดังกล่าวจะเร่งการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนได้มากเพียงใด

ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท YLG Bullion And Future จำกัด

แชร์

เศรษฐกิจจีนส่อแววฟื้นตัวช้า ราคาทองคำจะไปต่ออย่างไร?