ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ESG ได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ และในประเทศไทยเอง "การตลาดรักษ์โลก" หรือ Green Marketing ก็กำลังมาแรง สะท้อนให้เห็นจากบทสนทนาบนโลกโซเชียลที่ผู้บริโภคชาวไทยต่างแสดงความตื่นตัวและใส่ใจในประเด็นสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
วันนี้จะมาเจาะลึกถึง Green Marketing โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่จะช่วยให้องค์กรของคุณ ไม่เพียงแค่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ แต่ยังช่วยสร้างความแตกต่าง และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีนำพาธุรกิจสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน โดยวิทยากรที่จะมาให้ความรู้ คือ คุณทอปัด สุบรรณรักษ์ Head of Business ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การตลาด จาก Thai AirAsia ที่จะมาไขความลับของ Green Marketing พร้อมด้วยคุณกล้า ตั้งสุวรรณ ผู้นำด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลมีเดีย จากบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่จะมาเผยอินไซต์เชิงลึก สะท้อนมุมมองของผู้บริโภคชาวไทย ต่อ Green Marketing และ ESG และ คุณ ศศิภาส์ มงคลนาวิน Managing Partner, Group Strategy Director จาก Ogilvy Bangkok ที่จะมาแนะนำและมองผ่านเลนส์ Global Monitor 2024 ความท้าทายและโอกาสธุรกิจบนเส้นทางสู่ความยั่งยืนของ Green Marketing อย่างเข้มข้น พร้อมไขทุกข้อสงสัยเพื่อให้องค์กรของคุณพร้อมรับมือกับความท้าทาย และคว้าโอกาสใหม่ๆ ในยุคแห่งความยั่งยืน
คุณกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ESG กำลังเป็นกระแสหลักที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่เราเห็นการพูดถึงเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวของคนไทยในการร่วมสร้างสังคมที่ยั่งยืน"
ในปัจจุบัน โซเชียลมีเดียได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของประชาชน และในขณะเดียวกัน ESG (Environmental, Social, and Governance) ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นวาระสำคัญระดับชาติที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน 2566 ถึง พฤษภาคม 2567 บ่งชี้ว่ามีการกล่าวถึง ESG บนโซเชียลมีเดียสูงถึง 1.3 ล้านครั้ง พร้อมด้วยยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) มากกว่า 71 ล้านครั้ง ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความตื่นตัวของสังคมไทยต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พบว่าประเด็น ESG ที่ได้รับความสนใจสูงสุดบนโซเชียลมีเดีย สามารถจำแนกตามหมวดหมู่ได้ดังนี้
จากการรวบรวมข้อมูล พบว่า ประเด็น ESG ที่มี Engagement สูงสุดในปี 2567 ประกอบด้วย
Green Marketing หรือการตลาดสีเขียว กำลังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่องค์กรธุรกิจนำมาใช้เพื่อสื่อสารพันธกิจและเป้าหมายด้าน ESG โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ผู้บริโภคมีความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้น Green Marketing จึงเป็นโอกาสอันดีที่องค์กรจะใช้สร้างความแตกต่าง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
นอกเหนือจากประเด็น ESG กลุ่ม LGBTQIAN+ ยังคงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม โดยข้อมูลบ่งชี้ว่ามี Engagement เกี่ยวกับกลุ่ม LGBTQIAN+ สูงถึง 75.1 ล้านครั้ง ในช่วงเดือนมิถุนายน 2566 ถึง พฤษภาคม 2567 ซึ่งตอกย้ำถึงอิทธิพลของกลุ่มนี้ในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการเคารพสิทธิมนุษยชน
การลงทุนใน ESG และการสนับสนุนประเด็นทางสังคมไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กร แต่ยังเป็นการสร้างคุณค่าและผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
คุณทอปัด หรือ คุณศศิภาส์ มงคลนาวิน Head of Business Development จาก Thai AirAsia ได้กล่าวว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ปี 2025 ท่ามกลางความท้าทายมากมาย ทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติอันรุนแรง ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จที่ถูกสร้างขึ้นโดยปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงความแตกแยกทางสังคมและการเมือง องค์กรต่างๆ จึงจำเป็นต้องปรับตัวและวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความผันผวนดังกล่าว "ความยั่งยืน" คือปัจจัยสำคัญที่จะนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคงในระยะยาว
รายงาน Global Risks Report 2024 โดย World Economic Forum ได้ชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคามร้ายแรงที่องค์กรธุรกิจต้องเตรียมรับมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้ว ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงถึง 66% ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ภัยคุกคามดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจ เช่น ภัยแล้ง อุทกภัย และพายุ ล้วนส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตและการขนส่งวัตถุดิบ ก่อให้เกิดความล่าช้าและต้นทุนที่สูงขึ้น ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับความจำเป็นในการลงทุนด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ย่อมเป็นภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นสำหรับองค์กร นอกจากนี้ ผู้บริโภคในปัจจุบันตระหนักและให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการจากองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน องค์กรที่เพิกเฉยต่อความต้องการนี้ อาจสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด
ผลสำรวจ Ipsos Global Trends 2024 ระบุว่า 89% ของผู้บริโภคทั่วโลก เชื่อว่าโลกกำลังมุ่งหน้าสู่หายนะด้านสิ่งแวดล้อม และ 89% รู้สึกว่าตนเองได้ดำเนินการทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง ความตระหนักรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มสูงขึ้น พวกเขามองหาทางเลือกที่ยั่งยืนในการดำรงชีวิต และคาดหวังให้องค์กรธุรกิจมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม มิใช่เพียงการสร้างภาพลักษณ์ องค์กรที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืน สามารถดึงดูดลูกค้า สร้างความภักดีต่อแบรนด์ และเพิ่มยอดขายได้
ตัวอย่างเช่น บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด "TEGH Symbiosis" โดยผสมผสานธุรกิจยางพารา ปาล์มน้ำมัน และพลังงานทดแทน ส่งผลให้ TEGH ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 120,761 tonCO₂e และลดการใช้น้ำได้ถึง 81.5% เช่นเดียวกับ AirAsia ที่มุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (NetZero) ภายในปี 2050 โดยการลงทุนในเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ประหยัดน้ำมัน และพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ
องค์กรต่างๆ สามารถนำกลยุทธ์สู่ความยั่งยืนมาปรับใช้ เพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น การบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับ Core Business เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานหมุนเวียน การลดปริมาณของเสีย และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน การลงทุนในเทคโนโลยี เช่น Microsoft Cloud for Sustainability ซึ่งช่วยติดตามและบริหารจัดการประสิทธิภาพความยั่งยืน วิเคราะห์ข้อมูล และจัดทำรายงานผล การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น PAC Energy Saving Solutions ที่ร่วมมือกับโรงแรมและรีสอร์ทในการลดการใช้พลังงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนร่วมกัน และการสื่อสารความมุ่งมั่น เป้าหมาย และความคืบหน้าด้านความยั่งยืน ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน อย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา และเข้าใจง่าย
ความยั่งยืนมิใช่เพียงกระแสนิยม แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้องค์กรธุรกิจลดความเสี่ยง รับมือกับภัยคุกคามระดับโลก อาทิ ภัยพิบัติจากสภาพอากาศ เพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต สร้างสรรค์นวัตกรรม สร้างแบรนด์ เสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี สร้างความภักดีต่อแบรนด์ ดึงดูด รักษา และสร้างแรงบันดาลใจให้กับพนักงาน องค์กรที่สามารถปรับตัวและดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเท่านั้น จึงจะสามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างมั่นคงในอนาคต
คุณศศิภาส์ มงคลนาวิน Managing Partner, Group Strategy Director Ogilvy Bangkok กล่าวว่า ในยุคที่การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainability) กลายเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจทั่วโลก ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม กำลังกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัว เพื่อรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสใหม่ๆ บนเส้นทางสู่ความยั่งยืน บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกประเด็นสำคัญจากงาน “SPOTLIGHT DAY 2024” ซึ่งได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชาวไทย ผ่านรายงาน Global Monitor 2024
จากผลการสำรวจของ Global Monitor 2024 พบว่า ผู้บริโภคชาวไทยมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 4 ประเด็น ดังต่อไปนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ผลสำรวจยังระบุว่า คนไทยกว่า 60% มีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่ไม่จำเป็น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง ความระมัดระวังและรอบคอบในการวางแผนชีวิต สอดคล้องกับแนวโน้มของผู้บริโภคในระดับโลก
แม้ผลสำรวจจะบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นในระดับสากลเกี่ยวกับความสำคัญของการแก้ไขปัญหาโลกร้อนลดลง 4% ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ผลการศึกษาในประเทศไทยกลับสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่แตกต่างออกไป โดยพบว่าผู้บริโภคชาวไทยจำนวน 65% ยังคงยึดมั่นในความเชื่อที่ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) นับเป็นประเด็นเร่งด่วนที่พึงได้รับการแก้ไขโดยทันที ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 5% บ่งชี้ว่าสังคมไทยตระหนักรู้ถึงภัยคุกคามจากสภาวะแวดล้อมโลก และให้ความสำคัญกับการบรรเทาปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ดี แม้ 91% ของผู้บริโภคชาวไทยจะให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อก้าวสู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืนนั้นยังคงเป็นความท้าทายสำหรับคนส่วนใหญ่ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายประการที่จะได้นำเสนอต่อไป
แม้ผลสำรวจจะชี้ว่า ผู้บริโภคชาวไทยตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อมุ่งสู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืนนั้นกลับเป็นเรื่องท้าทาย โดยจากการศึกษาพบว่ามีปัจจัยหลายประการที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ดังนี้
จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจและภาคประชาชน โดยภาครัฐควรมีนโยบายที่เอื้อต่อการพัฒนา และส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ภาคธุรกิจต้องมุ่งพัฒนาสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการสื่อสาร และการสร้างแรงจูงใจ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเลือกใช้สินค้าและบริการดังกล่าว ขณะเดียวกัน ภาคประชาชนต้องตระหนักรู้ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน
จากข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมุมมอง และพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยต่อประเด็นสิ่งแวดล้อม ธุรกิจในประเทศไทยสามารถนำองค์ความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในการกำหนดกลยุทธ์ เพื่อตอบสนองความต้องการ และสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้บริโภค พร้อมกับผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางสำคัญ ดังต่อไปนี้
โดยสรุป ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการสื่อสารที่เข้าใจง่าย การสร้างความน่าเชื่อถือ และการนำเสนอกลยุทธ์ทางการตลาดที่น่าสนใจ เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ธุรกิจ
จากกข้อมูลและแนวโน้มที่ปรากฏของทั้ง 3 ท่าน จะเห็นได้ว่ากระแสความตระหนักรู้ในประเด็น ESG และ Green Marketing กำลังทวีความสำคัญขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับคุณภาพของสินค้าและบริการ ดังนั้น องค์กรธุรกิจจึงมิอาจมองข้ามการบูรณาการ ESG เข้ากับกลยุทธ์องค์กร เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้บริโภค สร้างความแตกต่าง เสริมสร้างภาพลักษณ์ และขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน
Green Marketing ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถสื่อสารพันธกิจ และเป้าหมายด้านความยั่งยืนไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การสร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ และความภักดีในแบรนด์ ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของยอดขายในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การดำเนินธุรกิจบนเส้นทางแห่งความยั่งยืน มิใช่เพียงการประยุกต์ใช้ Green Marketing แต่ต้องอาศัยความมุ่งมั่นตั้งใจ และความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นหลัง
สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนัก คือ ESG เป็นรากฐานสำคัญของการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน องค์กรธุรกิจจำเป็นต้องตระหนักถึงความสำคัญของ ESG ในฐานะปัจจัยขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน โดยผสาน ESG เข้ากับกลยุทธ์องค์กร เพื่อสร้างคุณค่าและผลลัพธ์เชิงบวกต่อสังคม เสริมสร้างความแข็งแกร่ง และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน Green Marketing คือโอกาสในการสร้างความแตกต่าง องค์กรสามารถใช้ Green Marketing เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร สร้างการรับรู้ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเน้นย้ำถึงพันธกิจและความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ เพื่อสร้างความแตกต่างและเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
ทั้งนี้ ความยั่งยืน คือ กุญแจสู่ความสำเร็จในระยะยาว การปรับตัวและดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักความยั่งยืน เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถรับมือกับความท้าทาย และคว้าโอกาสใหม่ๆ นำไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต โดยความร่วมมือคือพลังขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งในระดับนโยบาย การดำเนินงาน และการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี
สำหรับข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ องค์กรควรกำหนดกลยุทธ์ ESG ที่ชัดเจน วัดผลได้ และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจขององค์กร โดยมีการกำหนดกรอบการดำเนินงาน ตัวชี้วัดและเป้าหมายด้าน ESG ที่ชัดเจนเพื่อให้สามารถติดตาม ประเมินผล และปรับปรุงการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ องค์กรควรสื่อสารและสร้างความโปร่งใสในประเด็น ESG โดยให้ความสำคัญกับการสื่อสารข้อมูล และผลการดำเนินงานด้าน ESG อย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา และเข้าใจง่าย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
ที่สำคัญ องค์กรควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงาน โดยส่งเสริมให้พนักงานทุกระดับ มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน ESG ผ่านกิจกรรม โครงการ และการฝึกอบรมต่างๆ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึก และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืน ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคควรสนับสนุนการบริโภคอย่างรับผิดชอบ โดยให้การสนับสนุนสินค้าและบริการจากองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก และสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง
กล่าวโดยสรุป การมุ่งสู่ความยั่งยืน คืภารกิจที่ต้องอาศัยความร่วมมือความมุ่งมั่น และการปรับตัวอย่างต่อเนื่องของทั้งองค์กรธุรกิจและผู้บริโภคเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน