จากวิกฤตโลกเดือดที่ทวีความรุนแรงขึ้นและส่งผลกระทบในทุกมิติ การดำเนินการเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย ‘Net Zero’ กลายเป็นภารกิจร่วมกันของคนทั้งโลก องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก คาดว่า โลกจะร้อนขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสในปี 2027 ซึ่งปัจจุบันอุณหภูมิของโลกขึ้นไปที่ 1.42 องศาเซลเซียสแล้ว
สาเหตุสำคัญ คือ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ในภาคพลังงาน ภาคการคมนาคมขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งใหญ่กำลังส่งผลกระทบอย่างหนักทั่วโลก โดยในการประชุม COP28 มีบทสรุปสำคัญว่า โลกจะเปลี่ยนผ่าน พร้อมเรียกร้องข้อตกลงให้ทุกประเทศลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล อีกทั้งเกิดการระดมทุนมากกว่า 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน
ความท้าทายของการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำในประเทศไทย ได้แก่ มาตรการ Taxonomy และ CBAM เป็นต้น ซึ่งกระทบต่อภาคการผลิต นำเข้า และส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอน แม้ผู้ประกอบการทุกระดับเริ่มเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ แต่ยังทำได้ล่าช้า เนื่องจากวิกฤตด้านพลังงาน เงินเฟ้อ เศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงยังขาดแคลนเงินทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้อีกจำนวนมาก นอกจากนี้ เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป หันมาให้ความสำคัญกับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบที่รุนแรงขึ้น เช่น อากาศแปรปรวน มลพิษ เป็นต้น
‘ESG Symposium 2024' เป็นเวทีระดับประเทศที่มุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ ระดมความคิดเห็นและแนวทางการดำเนินงานด้าน ESG และการพัฒนาอย่างยั่งยืน จากไทย อาเซียน และระดับโลก เพื่อหาแนวทางการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำไปด้วยกัน
โดยภายในงาน ได้นำเสนอแนวทางความร่วมมือเร่งเปลี่ยนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ต่อรัฐบาลในงาน ESG Symposium 2024 บทความนี้ SPOTLIGHT ได้สรุปประเด็นที่สำคัญภายในงานไว้แล้ว
โดย Niamh Collier-Smith, ผู้แทน UNDP ประจำประเทศไทย
การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนในระดับโลกต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงวิธีการวัดความก้าวหน้า ในอดีต ตัวชี้วัดเช่น ‘อายุขัย’ และ ‘การศึกษา’ ถูกใช้เพื่อประเมินการพัฒนามนุษย์ แต่สุขภาพของโลกกลับถูกมองข้ามไป ทำให้ในปี 2020 องค์การสหประชาชาติได้ขยายกรอบการพัฒนามนุษย์ โดยเพิ่ม ‘ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม’ เข้าไปด้วย
แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีประเทศใดที่สามารถบรรลุการพัฒนามนุษย์ และการรักษาสุขภาพของโลกได้อย่างสมดุล นี่จึงเป็นสัญญาณสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่ทุกประเทศต้องมุ่งสู่อนาคตที่ความเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์และการปกป้องสิ่งแวดล้อมสามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้
ส่วนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ เป็นแกนหลักของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ โดยมีโครงการริเริ่มอย่าง ‘Pact for the Future’ และ ‘การกำหนดพันธกรณีระดับประเทศ’ (NDCs) ที่ช่วยกำหนดแนวทางให้ประเทศต่างๆ ปฏิบัติตามเป้าหมายของความตกลงปารีส
การปรับปรุงพันธกรณีด้านสภาพภูมิอากาศเหล่านี้ทุกๆ ห้าปี ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการกำหนดอนาคตของความยั่งยืนระดับโลก โดยองค์การ UNDP และพันธมิตรระหว่างประเทศได้ให้ความช่วยเหลือมากกว่า 120 ประเทศในการดำเนินพันธกรณีเหล่านี้ เพื่อให้พวกเขาสามารถเดินหน้าสู่การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อีกหนึ่งส่วนสำคัญของการเปลี่ยนผ่านนี้คือ การจัดแนวการเงินภาคเอกชนให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ‘ภาคการเงิน’ และ ‘ธุรกิจ’ มีบทบาทสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5°C ตามข้อตกลงปารีส โครงการริเริ่มอย่าง ‘Integrated National Financing Framework’ (INFF) ช่วยประเทศต่างๆ ในการเปลี่ยนแปลงการลงทุนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่โครงการที่ยั่งยืนมากขึ้น
สำหรับประเทศไทย เครื่องมืออย่าง ‘SDG Investor Map’ และ ‘Biodiversity Finance Initiative’ (BIOFIN) ได้มอบแนวทางในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อให้แน่ใจว่าอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทั้งมนุษย์และโลกจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
โดย Roberto Bocca สมาชิกคณะกรรมการบริหาร - หัวหน้าฝ่ายพลังงานและวัสดุ WEF
การเปลี่ยนผ่านพลังงานในไทยและภูมิภาคอาเซียนกำลังอยู่ในช่วงสำคัญ โดยความก้าวหน้าถูกวัดจากสามมิติหลัก ได้แก่ ‘ความเท่าเทียมด้านพลังงาน’ ‘ความมั่นคง’ และ ‘ความยั่งยืน’ แม้ว่าภูมิภาคอาเซียนจะมีความก้าวหน้าในด้านความมั่นคง และความยั่งยืนด้านพลังงาน แต่การเปลี่ยนผ่านกำลังชะลอตัว โดยเฉพาะในด้านความเท่าเทียม
ปัจจุบัน ภูมิภาคอาเซียนต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการที่ขัดขวางศักยภาพเต็มที่ของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดย 4 อุปสรรคหลัก มีดังต่อไปนี้
เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ Bocca มองว่า จากงาน ASEAN CEOs Forum ที่ได้เน้นย้ำถึงสามพื้นที่ที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่
หากอาเซียนสามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ ประเทศในภูมิภาคจะสามารถเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่ไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านพลังงานระดับโลก
โดย Dr. Cai Guan, รองผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายพัฒนาอุตสาหกรรมคาร์บอนและความเป็นกลางทางคาร์บอนในเมืองอู่ฮั่น
‘ตลาดคาร์บอนของจีน’ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีกฎระเบียบสำคัญสองฉบับที่มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสูงสุด (Carbon Peaking) และความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ของประเทศ
โดยล่าสุด ในปี 2024 มีการปรับปรุงเพิ่มเติมด้วยกฎระเบียบการจัดการการซื้อขายคาร์บอน ซึ่งได้พัฒนาระบบตรวจสอบ รายงาน และยืนยันการปล่อยคาร์บอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบในตลาด
ความสำเร็จของตลาดคาร์บอนของจีนสามารถเห็นได้ จากทั้งตลาดการซื้อขายคาร์บอนที่บังคับใช้ และตลาดการลดการปล่อยคาร์บอนแบบสมัครใจ นับตั้งแต่การเปิดตัวระบบการซื้อขายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับประเทศ (ETS) ในเดือนกรกฎาคม ปี 2021 ตลาดมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 19% และราคาคาร์บอนเพิ่มขึ้นถึง 87%
นอกจากนี้ ตลาดคาร์บอนระดับภูมิภาค เช่น ‘ตลาดคาร์บอนของมณฑลหูเป่ย’ ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจีน ตลาดคาร์บอนของหูเป่ยมีการสนับสนุน 343 หน่วยงานที่ปล่อยก๊าซหลัก และดึงดูดนักลงทุนสถาบันเกือบ 967 ราย โดยมีการซื้อขายเครดิตคาร์บอนอยู่ที่ประมาณ 40-45 หยวนต่อตัน
ความพยายามในระดับภูมิภาคนี้ช่วยเสริมสร้างกรอบการทำงานระดับประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศทั้งในท้องถิ่นและในระดับประเทศ เมื่อระบบเติบโตมากขึ้น จีนยังคงพัฒนาองค์ความรู้ในอุตสาหกรรมผ่านโครงการฝึกอบรมตลาดคาร์บอนจีน (CRC) เพื่อเตรียมผู้มีส่วนร่วมให้สามารถดำเนินการในตลาดที่กำลังพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Energy Transition การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
โดย Dr. Eric Larson, ศาสตราจารย์วิจัย มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน, สหรัฐอเมริกา
การเปลี่ยนแปลงพลังงานของประเทศไทย ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ ‘การผลิตไฟฟ้า’ แต่ต้องการแนวทางที่ครอบคลุม ความโปร่งใส และข้อมูลแบบเปิด จะช่วยอำนวยความสะดวกในการตัดสินใจ และเพิ่มความเข้าใจของประชาชน
การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีตัวแทนจากรัฐบาล ภาคเอกชน องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร สหภาพแรงงาน และสหภาพเกษตรกร การจัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาสามารถรับประกันได้ว่ามุมมองที่หลากหลายจะได้รับการพิจารณา ทำให้กระบวนการนี้เป็นไปอย่างครอบคลุม และตอบสนองต่อความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในขณะที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน
เป้าหมายของประเทศไทยในการปล่อย ‘ก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์’ คือ การมองภาพรวมที่ครอบคลุมถึงทุนที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้แน่ใจว่า ความหลากหลายทางชีวภาพ ความยั่งยืนทางการเกษตร และสุขภาพของป่าไม้ จะได้รับการสมดุลกับความต้องการทางเศรษฐกิจ ผ่านการส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงสีเขียวที่ครอบคลุมประเทศไทย
Agriculture ภาคเกษตรกรรม
โดย Dr. Nana Kuenkel, ผู้อำนวยการและประสานงานกลุ่มด้านการเกษตรและอาหาร GIZ, เยอรมนี
สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จากน้ำท่วมรุนแรงและอุณหภูมิที่สูงขึ้นใกล้ระดับ 1.5 องศาเซลเซียส ความท้าทายเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชไร่และข้าว ที่มีคุณภาพลดลง และการกัดเซาะดินเพิ่มขึ้น
เพื่อจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ การสำรวจกลยุทธ์ในการลดการปล่อยก๊าซ และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งสำคัญ โครงการที่มุ่งเน้นการจัดการน้ำและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเพิ่มรายได้ของเกษตรกรได้ถึง 20% ในขณะที่ลดการใช้ปุ๋ยลงอย่างมาก เทคนิค เช่น การปรับระดับที่ดินด้วยเลเซอร์สามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการชลประทานได้ และการฝึกอบรมสามารถช่วยเกษตรกรในภาคปาล์มน้ำมัน ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานความยั่งยืนระดับสากล
การร่วมมือของประเทศไทย กับประเทศในภูมิภาคอาเซียน มีความสำคัญในการกำหนดแนวทางด้านการเกษตรที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ภาคการเกษตรมีความยืดหยุ่นและสามารถรับรองความมั่นคงด้านอาหารท่ามกลางความท้าทายทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ
Regenerative Waste Management การจัดการขยะแบบฟื้นฟู
โดย Belinda Knox, รองกรรมการผู้จัดการ, I-Environment Investment Ltd. (IEI) อิโตชู, สหราชอาณาจักร
ในขณะที่ประเทศไทยมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ‘การจัดการขยะเชิงฟื้นฟู’ ได้กลายเป็นจุดสนใจหลักในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม แนวทางเชิงกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ในขณะที่ลดต้นทุนให้เหลือน้อยที่สุดเป็นสิ่งจำเป็น การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มรายได้แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะเพียงอย่างเดียวถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ
การสร้างแหล่งรายได้หลายทางผ่านการจัดการขยะจากบุคคลภายนอกสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ให้กู้เกี่ยวกับความสามารถในการระดมทุนของโครงการเหล่านี้ได้ โดยการจัดสรร 60% ของรายได้ให้กับการดำเนินงานหลักและการส่งออก 40% ที่เหลือไปยังแหล่งรายได้ทางเลือก
ประเทศไทยสามารถสร้างกรอบการจัดการขยะที่แข็งแกร่งซึ่งสนับสนุนทั้งความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ การนำแนวทางปฏิบัติที่เป็นนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการขยะเชิงฟื้นฟูจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถจัดการกับความท้าทายด้านขยะและส่งเสริมแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืนซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
1. Saraburi Sandbox: โมเดลเมืองคาร์บอนต่ำ
‘Saraburi Sandbox’ เป็นเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย ตั้งอยู่ในจังหวัดสระบุรี โดยมุ่งหวังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมาย ‘Net Zero’ มีความก้าวหน้าในหลายด้าน เช่น การใช้เทคโนโลยี CCUS ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ซึ่งต้องการการสนับสนุนทางการเงินและการวิจัยเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพัฒนาป่าชุมชน เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสร้างรายได้ให้ชุมชน
2. Circular Economy: การใช้ทรัพยากรหมุนเวียน
การประชุมได้หารือเกี่ยวกับการจัดการขยะอย่างครบวงจร โดยมีข้อเสนอให้มีการคัดแยกขยะที่ต้นทาง การสร้างศูนย์คัดแยกขยะย่อย และการพัฒนาระบบการจัดการขยะทั้งระบบ เช่น ระบบ EPR (Extended Producer Responsibility) เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการจัดการขยะและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
3. Just Transition: การสนับสนุนทรัพยากร
การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำเป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการ โดยเสนอให้มีความร่วมมือกับภาครัฐและมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเทคโนโลยีและความรู้ นอกจากนี้ การเข้าถึงเงินทุนและการกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อประเมินความสามารถในการปรับตัว จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่น
4. Technology for Decarbonization: การพัฒนาเทคโนโลยี
การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยมุ่งเน้นที่นวัตกรรมการขนส่งสีเขียวและการสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบจัดเก็บพลังงาน (ESS) นอกจากนี้ การทดลองใช้เทคโนโลยีในสภาพแวดล้อมจริงจะช่วยสร้างความต้องการในตลาดและกระตุ้นการลงทุนที่จำเป็น
5. Sustainable Packaging Value Chain: การจัดการบรรจุภัณฑ์
การพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าด้านบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนมีความสำคัญ โดยสร้างความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก โดยนำเทคโนโลยีในการคำนวณ Carbon Footprint มาช่วยในการวางแผนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การสนับสนุน SMEs ในการเข้าถึงทรัพยากรและเทคโนโลยีจะช่วยให้บรรลุเป้าหมาย ESG ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดย ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม, กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG
ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลใส่ใจเรื่องภัยธรรมชาติ เนื่องจากประเทศกำลังเผชิญกับ ‘ปัญหาโลกเดือด’ และเป็นปัญหาหลักของประชาคมโลก ซึ่งในปีที่ผ่านมา การผนึกกำลังทำงานของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน ประชาสังคม เพื่อร่วมเปลี่ยนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เกิดความคืบหน้าอย่างมาก เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
โดยได้ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านโครงการ Saraburi Sandbox ที่สร้างรายได้ 2.5 ล้านบาทต่อปี ยกระดับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์คา์บอนต่ำ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 80% ลดการปล่อยคาร์บอน 1.17 ล้านตันต่อไป ยกระดับนวัตกรรมรีไซเคิ้ลสร้างรายได้ ผ่านโครงการความร่วมมือของ SCG
ส่วนในปีนี้ มีการระดมกำลังกว่าสองเดือน ร่วมแสดงพลังกว่า 3,500 คน โดยถอดบทเรียน 1 ปีที่ผ่านมา สรุปเป็นสี่แนวทาง ดังนี้:
ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ต้องใช้ความร่วมมือของทุกภาคส่วน
โดย รองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเจอภัยพิบัติถึง 137 ครั้ง ถูกจัดอันดับ 9 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบของ ‘climate change’ ส่วนในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ไทยเจออากาศ ‘ร้อนจัดมาก’ และล่าสุด จังหวัดในภาคเหนือและอีสานเจอกับฝนตกหนักด้วย
สิ่งเหล่านี้ทำให้รัฐบาลเร่งมือในการจัดการวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เพราะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยใน 10 ปีข้างหน้า รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ว่า “การปล่อยคาร์บอนเพื่อไม่ให้โลกร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี 2050 และในปี 2065 เราตั้งเป้าให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ รวมถึงเราต้องเตรียมรับมือภัยพิบัติที่เพิ่มมากขึ้น”
ซึ่งทางรัฐบาลได้ตั้งเป้า 6 ประเด็นหลัก ดังนี้:
ทางรัฐบาลเร่งทำงานเรื่องของการแจ้งเตือนภัย โดยมีระบบแจ้งเตือนภัยที่มีการพัฒนาขึ้น ที่สามารถแจ้งเตือนภัยได้อย่างเป็นระบบล่วงหน้า 2-3 วัน นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ขับเคลื่อนนโยบาย ‘Green Economy’ และต้องปรับ sme ให้ทันกับเหตุการณ์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องให้การสนับสนุนและประคับประคอง
โดยรัฐบาล ในฐานะ ‘ผู้เสนอกฎหมาย’ ได้พยายามผลักดันร่างพรบปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ตั้งกองทุนสภาพอากาศ รัฐบาลจะรับสิ่งที่ภาคเอกชนเสนอมา
“ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะเปลี่ยนแปลงความท้าทาย ข้อจำกัด เป็นพลังงานต่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน รัฐบาลจะขับเคลื่อนทุกนโยบาย สู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยอย่างยั่งยืนและมีสมดุล โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง”