โลกกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ภาวะโลกร้อน ปัญหาขยะ มลพิษ และการขาดแคลนทรัพยากร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้คน และการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ดังนั้น "ความยั่งยืน" จึงกลายเป็น "กุญแจสำคัญ" ในการไขปัญหาเหล่านี้ และเป็นแนวคิดที่องค์กรชั้นนำทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ
ThaiBev หนึ่งในบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของไทย ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมุ่งมั่นที่จะสร้าง "สมดุล" ระหว่าง "ความสำเร็จทางธุรกิจ" "การพัฒนาสังคม" และ "การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม" เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง "โลกที่ดีกว่า" สำหรับทุกคน ThaiBev หนึ่งในหัวเรือใหญ่สำหรับผู้จัดงาน SX Sustainability Expo 2024 งานมหกรรมความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืน พร้อมนำเสนอหลากหลายโครงการ และ initiatives ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการบริหารจัดการน้ำ การอนุรักษ์ป่า และการพัฒนาชุมชน ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปดูภารกิจด้านความยั่งยืนของ ThaiBev ที่นำเสนอในงาน SX 2024 เพื่อให้เห็นถึงความตั้งใจจริง และแนวทางการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม ขององค์กรชั้นนำ ในการร่วมสร้าง "สมดุลที่ดี เพื่อโลกที่ดีกว่า" อย่างยั่งยืน
ในงาน Sustainability Expo 2024 หรือ SX 2024 ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บูธของ ThaiBev ได้สะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการ "WATER REPLENISHMENT โครงการคืนน้ำสู่ธรรมชาติและชุมชนอย่างยั่งยืน" ซึ่งมุ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ภายในบูธ ThaiBev ได้นำเสนอ 4 โครงการสำคัญ ได้แก่
โครงการ "WATER REPLENISHMENT" ของ ThaiBev เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืน โดยบูรณาการการดูแลสิ่งแวดล้อม เข้ากับการพัฒนาสังคมและชุมชน เพื่อสร้างความสมดุลที่ดี และโลกที่ดีกว่า สอดคล้องกับแนวคิด "PASSION 2030" ของบริษัท โดย ThaiBev ต้องการการคืนน้ำสู่ธรรมชาติและชุมชน 1,000 ล้านลิตร ภายในปี 2583 และ ลดการดึงน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติลง 7.8%
ไทยเบฟมุ่งมั่นที่จะบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เพื่อให้ชุมชนสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำได้ในระยะยาว เรามีเป้าหมายที่จะลดผลกระทบจากการดำเนินงานของเรา พร้อมทั้งร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักๆ ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ พันธมิตรในห่วงโซ่คุณค่า องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และชุมชน
หัวใจสำคัญของเราคือการผลักดันให้เกิดการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งในด้านปริมาณน้ำ การใช้น้ำ การบริโภคน้ำ คุณภาพน้ำ และการเติมเต็มแหล่งน้ำ รวมถึงการส่งเสริมการเข้าถึงน้ำสะอาด สุขอนามัย และสุขภาพอนามัยที่ดี (WASH)
คณะกรรมการบริษัทได้ให้การรับรองนโยบายการจัดการน้ำขององค์กร เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำของไทยเบฟ นโยบายนี้กำหนดเจตนารมณ์และแนวทางปฏิบัติในการลดผลกระทบจากกิจกรรมการผลิตของบริษัทต่อแหล่งน้ำ โดยมุ่งเน้นการประเมินคุณภาพและปริมาณน้ำ การนำเครื่องมือและมาตรฐานการจัดการทรัพยากรน้ำระดับสากลมาใช้ การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ และการรับผิดชอบต่อการใช้น้ำ
ไทยเบฟตระหนักดีว่าการจัดการน้ำเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นของบริษัทต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราบริหารจัดการปัญหาด้านน้ำโดยการระบุความเสี่ยงและโอกาส รวมถึงการติดตามความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด เราประเมินความเสี่ยงทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับน้ำในโรงงานผลิตทุกแห่งของเรา ทุกๆ 3-5 ปี เพื่อทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งนี้ช่วยให้โรงงานแต่ละแห่งสามารถพัฒนาแผนการจัดการความเสี่ยงด้านน้ำและมาตรการลดผลกระทบได้อย่างเหมาะสม
ไทยเบฟให้ความสำคัญกับการรับรองมาตรฐาน ISO14001 ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงงานผลิตทุกแห่ง ในส่วนของการควบคุมมาตรฐานน้ำทิ้ง บริษัทบำบัดน้ำเสียให้ได้คุณภาพสูงกว่าเกณฑ์ตามกฎหมาย (ในด้านค่า pH อุณหภูมิ COD BOD TSS น้ำมัน และไขมัน) ก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน้อยที่สุด สำหรับเป้าหมายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของ ThaiBev ในการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างรับผิดชอบ โดยมุ่งเน้นการอนุรักษ์และคืนน้ำสู่ธรรมชาติ เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างธุรกิจและสิ่งแวดล้อม
SX Sustainability Expo 2024 งานแสดงนวัตกรรมความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ได้รวบรวมหลากหลายองค์กรชั้นนำมาร่วมจัดแสดงแนวคิดและผลงานที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยหนึ่งในบูธที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานคือบูธของ ThaiBev ที่ปีนี้มาพร้อมกับจอภาพขนาดใหญ่ สะท้อนภาพความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าและสายน้ำ พร้อมข้อความ "ไทยเบฟ ร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง สนับสนุนป่าชุมชน กว่า 90,000 ไร่ ซึ่งช่วยดูดซับน้ำ เพื่อป้องกันน้ำท่วม" เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และสร้างสมดุลของระบบนิเวศ โดยป่าที่อุดมสมบูรณ์เหล่านี้ จะทำหน้าที่เสมือนฟองน้ำขนาดใหญ่ ช่วยดูดซับน้ำฝน ลดความเสี่ยงจากการเกิดน้ำท่วม และกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง
ป่าต้นน้ำ ชุมชนต้นแบบ สู่คาร์บอนเครดิต โมเดลแห่งความยั่งยืนโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ
จากแนวคิด "คาร์บอนเครดิต" ที่ต้นไม้ในภาคเกษตรและป่าไม้ คือ "แหล่งกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์" มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เล็งเห็นถึงศักยภาพของชุมชนไทย ผู้พิทักษ์ป่า ควบคู่กับความต้องการของภาคเอกชน ในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงเกิดเป็น "โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" โดยมูลนิธิฯ ทำหน้าที่เป็น "สะพานเชื่อม" ระหว่าง "ชุมชนต้นน้ำ" ผู้ดูแลป่า และ "ภาคเอกชนปลายน้ำ" ผู้สนับสนุน เพื่อสร้างสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ (win-win situation) และร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ผู้คร่ำหวอดในด้านการสำรวจและประเมินการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในป่า ได้เข้าไปให้ความรู้ สร้างทักษะ และถ่ายทอดกระบวนการทำงานให้แก่ชุมชนเป้าหมายอย่างใกล้ชิด เสมือนเป็น "พี่เลี้ยง" คอยให้คำปรึกษา จนชุมชนสามารถสร้างฐานข้อมูลปริมาณการกักเก็บคาร์บอนฯ ของตนเองได้อย่างเป็นระบบ พร้อมก้าวสู่การขึ้นทะเบียนปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด/กักเก็บได้ ภายใต้ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของประเทศไทย ผ่านหน่วยงานภาครัฐ
ในโครงการนี้ ภาคเอกชน คือ "ผู้สนับสนุนหลัก" โดยให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ชุมชน และได้รับ "คาร์บอนเครดิต" ตอบแทน เพื่อนำไปลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของตนเอง ส่วนชุมชน ก็ได้รับ "รายได้เสริม" จากการดูแลรักษาป่า ซึ่งจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบกองทุนหมู่บ้าน เพื่อนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิต และต่อยอดการดูแลป่าอย่างยั่งยืนต่อไป
ปลูกป่า ปลูกคน ปลูกคาร์บอนเครดิต ภารกิจสีเขียวเพื่อลูกหลาน โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ
โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการ แต่เป็นการต่อยอด "จิตวิญญาณ" แห่งการ "ปลูกป่า ปลูกคน" ซึ่งเป็นเสมือน "หัวใจหลัก" ในการดำเนินงานด้านป่าไม้ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มาโดยตลอด เปรียบได้กับการปลูกต้นกล้าแห่งความหวัง ที่เมื่อเติบใหญ่ ก็พร้อมที่จะแผ่กิ่งก้านสาขาแห่งความยั่งยืน โดยมูลนิธิฯ มุ่งเน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่า และได้รับประโยชน์จากผืนป่าอย่างเป็นธรรม ตั้งแต่การสร้างความเข้าใจ ไปจนถึงการลงมือปฏิบัติ ร่วมกันกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
และในปี 2566 นี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะ "ผนึกกำลัง" กับทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อขยายผลโครงการฯ ให้ครอบคลุมพื้นที่ป่ากว่า 1.47 แสนไร่ ใน 120 ชุมชน ร่วมกันสร้าง "กำแพงสีเขียว" เพื่อรับมือกับวิกฤตโลกร้อน และส่งต่อ "มรดกแห่งความยั่งยืน" ให้แก่ลูกหลานในอนาคต
SX Sustainability Expo 2024 งานมหกรรมความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน กลับมาอีกครั้งพร้อมจุดประกายให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างสรรค์ "สมดุลที่ดี เพื่อโลกที่ดีกว่า" ภายในงานมีบูธจากหลากหลายองค์กรชั้นนำร่วมจัดแสดงนวัตกรรมและแนวคิดเพื่อความยั่งยืน หนึ่งในนั้นคือบูธจาก ThaiBev ที่นำเสนอภารกิจด้านความยั่งยืนภายใต้แนวคิด "QUALITY OF LIFE เมื่อชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี สังคมดี ชีวิตก็มีสุข" สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนโดย ThaiBev ได้นำเสนอโครงการที่น่าสนใจมากมาย อาทิ
บูธ ThaiBev ในงาน SX Sustainability Expo 2024 จึงเป็นเสมือนหน้าต่างที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมงานได้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร โดยบูรณาการแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้ากับทุกกระบวนการทำงาน เพื่อสร้าง "สมดุลที่ดี เพื่อโลกที่ดีกว่า" อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ภายในบูธยังมีการจัดแสดงข้อมูลเกี่ยวกับโครงการและกิจกรรมต่างๆ ที่ ThaiBev ดำเนินการเพื่อสนับสนุนเป้าหมายความยั่งยืน เช่น โครงการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ โครงการส่งเสริมการรีไซเคิล และโครงการพัฒนาชุมชน การเข้าร่วมงาน SX Sustainability Expo 2024 ในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ ThaiBev ในการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืน โดยบูธ ThaiBev ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวของสังคมไทยต่อประเด็นความยั่งยืนที่เพิ่มสูงขึ้น