Meta เผยว่า ‘อินเดีย’ เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทในขณะที่ หลังจากพบว่า มีการใช้งาน Meta AI ในการค้นหามากกว่าพันรายการนับต้ังแต่การเปิดตัว รวมถึงมีผู้ใช้งาน WhatsApp ในอินเดียกว่า 500 ล้านคนด้วย
Susan Li ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน Meta เผยว่า Meta เห็นสัญญาณที่มีแนวโน้มโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน WhatsApp ในแง่ของการใช้งานและการมีส่วนร่วม ซึ่งใกล้เคียงกับที่อินเดียกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการใช้งาน Meta AI
Meta เปิดตัว Meta AI ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งมีให้ใช้งานใน Instagram, Facebook, Messenger, WhatsAppม และเว็บไซต์ โดยต่อมา บริษัทได้อัปเกรดแชทบอทในเดือนเมษายนด้วยโมเดล Llama 3 ใหม่และเปิดตัวเพิ่มกว่า 14 ประเทศ รวมถึงอินเดีย ที่ผู้ใช้งานทุกคนสามารถใช้งานได้ทั่วถึงเดือนมิถุนายน หลังการเลือกตั้งทั่วไปของอินเดียเสร็จสิ้น
ที่ผ่านมา บริษัทเผชิญกับความท้าทายทางวัฒนธรรมในการทำให้ AI ปรับตัวเข้ากับตลาดอินเดียมากขึ้น จากการรายงานของ TechCrunch พบว่า :
- เดือนพฤษภาคม รูปภาพของผู้ชายอินเดียที่สร้างโดย Meta AI ส่วนใหญ่จะสวมผ้าโพกหัว
- เดือนกรกฎาคม ผู้ใช้ X หลายคนบ่นว่า Meta AI สร้างเรื่องตลกเกี่ยวกับศาสนาหนึ่ง และปฏิเสธที่จะทำเช่นเดียวกันกับศาสนาอื่น
ผลลัพธ์เหล่านี้ไม่สอดคล้องกัน และในที่สุด Meta ก็ปรับแต่งอัลกอริทึม เพื่อให้เท่าเทียมกันสำหรับเรื่องตลกทางศาสนา
ส่วนเมื่อเดือนที่ผ่านมา Meta ได้เพิ่มการรองรับภาษาต่างๆ นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ รวมถึงภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน ฮินดี สคริปต์ฮินดี-โรมัน อิตาลี โปรตุเกส และสเปน ซึ่งขณะนี้ Meta AI เปิดให้บริการใน 22 ประเทศ รวมถึงประเทศอาร์เจนตินา ชิลี โคลอมเบีย เอกวาดอร์ และเม็กซิโกที่เพิ่มเข้ามาล่าสุด
ส่วนโมเดล Llama 4 ทาง Mark Zuckerberg เผยว่า ต้องใช้พลังการประมวลผลของคอมพิวเตอร์มากถึง 10 เท่า เพื่อฝึกฝนโมเดล Llama 4 และโมเดลในอนาคตจะยังคงเติบโตต่อไปนอกเหนือจากนั้น
นอกเหนือจาก AI แล้ว Meta ยังเห็นสัญญาณที่มีแนวโน้มสำหรับเครือข่ายโซเชียลของตน บริษัทตั้งข้อสังเกตว่าขณะนี้ Threads มีผู้ใช้เกือบ 200 ล้านคน โดยมีคู่แข่งหลักอย่าง X หรือทวิตเตอร์เดิม ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 175 ล้านราย
ผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2/2567
สำหรับไตรมาสที่ 2/2567 รายได้ของ Meta อยู่ที่ 39,071 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ในขณะที่กำไรสุทธิทะลุ 73% เป็น 13,465 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นแตะ 5.16 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น
โดยผลลัพธ์ของ Meta ชี้ให้เห็นถึงส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดโฆษณาดิจิทัล ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท รายได้จากการโฆษณาซึ่งส่วนใหญ่มาจากแอพ Facebook และ Instagram เพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อนหน้า
Meta ยังคงได้รับประโยชน์จากความคิดริเริ่มในการลดต้นทุนที่เริ่มต้นในปลายปี 2565 บริษัทได้ปลดพนักงานทั้งหมดประมาณ 21,000 ตำแหน่งจากการเลิกจ้างหลายรอบ รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 58% จากปีก่อนหน้าเป็น 14,847 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอัตรากำไรจากการดำเนินงานของ Meta เพิ่มขึ้นเป็น 38% จาก 29% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม Meta ได้ใช้จ่ายอย่างมากกับเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น AI, VR, และ AR ที่จำเป็นในการสนับสนุน metaverse รวมทั้งได้ทุ่มเงินให้กับโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลและทรัพยากรคอมพิวเตอร์ที่ Mark Zuckerberg ซีอีโอกล่าวว่า มีความจำเป็นเพื่อก้าวนำหน้าคู่แข่ง
ในขณะที่บริษัทกำลังดำเนินการปรับปรุงแผนสำหรับปีหน้า Meta คาดว่ารายจ่ายฝ่ายทุนจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 ในขณะที่ Meta ลงทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัย AI และความพยายามในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้ หุ้นของ Meta ปิดตลาดที่ 474.83 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2.51% ทำให้มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 1.204 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่อันดับ 7 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุด
ที่มา TechCrunch, Meta, CNBC, Companies Market Cap