นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในเมียนมาเมื่อปี 2021 เพื่อนบ้านอย่างไทยรับรู้ได้ถึงปัญหาต่างๆที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความมั่นคงทางชายแดน แต่ไม่ใช่แค่ไทยเท่านั้น แต่เพื่อนบ้านอื่นๆของเมียนมาก็ต้องรับมือกับปัญหาที่เกิดจากสงครามกลางเมือง ทั้งจีน อินเดียและบังกลาเทศ ต่างวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่แย่ลงของเมียนมา
ปัญหาสำคัญที่ไทยและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆต้องเจอ ประการแรกคือความมั่นคงของชายแดน เพราะการสู้รบระหว่างกองทัพรัฐบาลทหารและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ผลักดันชาวเมียนมาให้หนีภัยสงครามข้ามพรมแดนเข้ามา โดยมีตัวเลขที่ไม่แน่ชัด แต่คาดว่า น่าจะมีชาวเมียนมาหลายหมื่นคนที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยริมชายแดน
ชายแดนของไทยยังเผชิญปัญหาความตึงเครียด หลังกองกำลังสหรัฐว้า (UWSA) หรือว้าแดง ซึ่งควบคุมพื้นที่ปกครองตนเองในรัฐฉาน ล่วงล้ำเข้ามาในชายแดนไทย ซึ่งฝั่งไทยระบุว่า มีจุดตั้งฐานทัพ 9 แห่งของว้าแดนอยู่ในดินแดนของไทยและเรียกร้องให้มีการถอนกำลังออกไป
ความขัดแย้งนี้สร้างความกังวลเนื่องจากสถานการณ์อาจจะรุนแรงขึ้น เพราะว้าแดงถือเป็นกองกำลังติดอาวุธที่ทรงอิทธิพลที่สุดของเมียนมา และเคยถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด
ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ไทยได้หารือกับตัวแทนว้าแดงที่จังหวัดเชียงใหม่ในเดือนพฤศจิกายน และกำหนดเส้นตายให้ถอนตัวออกจากฐานที่ตั้งภายในวันที่ 18 ธันวาคม อย่างไรก็ตาม กองกำลังว้าแดงปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าวเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม โดยระบุว่าปัญหานี้ควรได้รับการหารือในระดับรัฐบาล แต่ย้ำว่ากองทัพไทยไม่ใช่ศัตรูของพวกเขา หลังจากนั้น ทางกองทัพเมียนมาเผยว่า จะมีการหารือกับไทยในประเด็นดังกล่าวในเร็วๆนี้ แต่ก็ยังไม่ได้มีการระบุวันที่แน่ชัด
นับตั้งแต่เกิดเหตุความไม่สงบในรัฐยะไข่เมื่อปี 2017 ทำให้ชาวโรฮิงญาจำนวนมากต้องอพยพออกจากบ้านเรือน หลบหนีการไล่ล่าของกองทัพรัฐบาลทหาร ข้ามพรมแดนไปยังบังกลาเทศเพื่อเอาชีวิตรอด และนับตั้งแต่เกิดสงครามกลางเมือง ชาวโรฮิงญายิ่งมีชีวิตที่ลำบากมากกว่าเดิม
ปัจจุบันนี้ ยังมีชาวโรฮิงญาจากฝั่งเมียนมา ทยอยเดินทางมาที่ค่ายผู้ลี้ภัยทั้งค่ายกูตูปาลอง และค่ายค็อกซ์บาซาร์ แต่สภาพความเป็นอยู่ในค่ายไม่ค่อยสู้ดีนัก และหน่วยงานระหว่างประเทศต้องเข้ามาช่วยดูแล เนื่องจากรัฐบาลบังกลาเทศแบกรับความรับผิดชอบตรงนี้แทบจะไม่ไหวแล้ว
เหตุการณ์การปราบปรามในรัฐยะไข่ของเมียนมาทำให้ชาวโรฮิงญากว่า 700,000 คนต้องหลบหนีไปยังบังกลาเทศ และเกิดการสอบสวนเรื่องอาชญากรรมต่อมนุษยชาติและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเวทีนานาชาติอย่างต่อเนื่อง.
ส่วนอินเดียก็เผชิญปัญหาไม่ต่างกัน นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021 รัฐมิโซรัมของอินเดีย รับผู้ลี้ภัยนับพันที่หลบหนีความรุนแรง แม้ว่าจะเผชิญกับการคัดค้านจากรัฐบาลกลางอินเดียก็ตาม
ปัจจุบัน มีผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยจากเมียนมารเกือบ 80,000 คนในอินเดีย ในจำนวนนี้ 53,000 คนเข้ามาหลังการรัฐประหารปี 2021 รัฐมิโซรัมเพียงรัฐเดียวรองรับผู้ลี้ภัยถึงครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 40,000 คน โดยพวกเขาอาศัยอยู่ในค่ายชั่วคราวในหมู่บ้านต่างๆ
สงครามในเมียนมา ทำให้กลุ่มอาชญากรรมจีนสีเทาขยายอิทธิพลเข้ามา แม้จะมีการปราบปรามบางครั้งจากรัฐบาลจีน แต่แก๊งเหล่านั้นก็เข้ามาตั้งโรงงานและบริษัทในหลายเมือง พวกเขาหลอกลวงผู้คนจากทั่วโลก เพื่อบังคับให้มาทำงานหลอกลวงผู้คนทางออนไลน์ และใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการเดินทาง
ปัญหาแก๊งหลอกหลวงออนไลน์เป็นปัญหาใหญ่ในพื้นที่ชายแดนระหว่างไทย เมียนมา และจีน โดยมีการล่อลวงประชาชนจากทั้งสามประเทศให้ตกเป็นเหยื่อ และต่อมาถูกบังคับใช้แรงงานในกิจกรรมหลอกลวงทางออนไลน์
ธุรกิจเหล่านี้บังคับให้แรงงานที่ถูกค้ามนุษย์ โทรศัพท์หาคนในภูมิภาคเอเชีย เพื่อโน้มน้าวให้ลงทุนในแผนการหลอกลวงหรือการลงทุนปลอม
ในปี 2023 เจ้าหน้าที่ทั้งจากรัฐบาลทหารเมียนมาและกองกำลังกบฏ ได้ผลักดันผู้คนหลายหมื่นคนที่เกี่ยวข้องกับแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้ออกนอกประเทศ โดยส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับการบังคับใช้แรงงาน การค้ามนุษย์ และการฟอกเงิน ซึ่งปัญหาเหล่านี้เริ่มรุนแรงขึ้น หลังจากคาสิโนจำนวนมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องปิดตัวลงเพราะการระบาดของโควิด-19