เผาพริกเผาเกลือสาปแช่ง เจ้าของรถตัดอ้อย ไม่เหลียวแลเด็กบาดเจ็บนานนับปี

21 ต.ค. 67

 

กลุ่มผู้ปกครอง เผาพริกเผาเกลือสาปแช่ง เจ้าของรถตัดอ้อย ไม่เหลียวแล เด็กบาดเจ็บนานเกือบปี หลังเอารถตัดอ้อยออกมาวิ่งเช้ามืด ทำรถตู้รับส่งนักเรียนชนท้าย 

จากกรณีการเกิดอุบัติเหตุ รถตู้รับส่งนักเรียนชนท้ายรถตัดอ้อยบนถนนสายหนองรี-หนองปรือ ต.หนองรี อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 22 ม.ค. 67 ส่งผลให้มีเด็กนักเรียนได้รับบาดเจ็บ รวม 14 ราย แต่ปรากฏว่าทางเจ้าของรถตัดอ้อยกลับไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆ จนเวลาล่วงเลยมานานเกือบปี 

ทำให้ครอบครัวของเด็กนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บต้องรวมตัวกันเดินหน้าเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากหลายหน่วยงาน 

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 67 นายมานิตย์ ชมชื่น หนึ่งในผู้ปกครองของเด็กนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บ พร้อมด้วยคณะผู้ปกครองของเด็กที่ได้รับบาดเจ็บเดินทางมายัง วัดหนองปรือ เพื่อเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อ ผศ.ดร.นพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา ที่เดินทางมาเป็นประธานในการทอดกฐินสามัคคีที่วัดหนองปรือแห่งนี้ 

เผาพริกเผาเกลือสาปแช่ง เจ้าของรถตัดอ้อย ไม่เหลียวแลเด็กบาดเจ็บนานนับปี

โดยนายมานิตย์ กล่าวว่า รู้ดีว่าการเดินทางมายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมในงานบุญเช่นนี้ไม่เหมาะสม แต่ตนเองและกลุ่มผู้ปกครองเดินหน้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมมาหลายหน่วยงาน แต่ก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงตัดสินใจเดินทางเข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อ สว.นพดล ที่เป็นชาวอ.หนองปรือ เพื่อหวังว่าจะสามารถช่วยให้พวกตน และบุตรหลานได้รับความเป็นธรรมได้ 

โดยหลังรับหนังสือร้องเรียนแล้ว ผศ.ดร.นพดล อินนา รับปากที่จะดูแล และติดตามเรื่องนี้ให้ 

จากนั้นภายหลังยื่นหนังสือเสร็จเรียบร้อย ทางนายมานิตย์และกลุ่มผู้ปกครองทั้งหมดได้ช่วยกันยกเอาเตาขนาดใหญ่มาตั้งที่หน้าพระใหญ่วัดหนองปรือ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านใน ต.หนองปรือ พร้อมนำเอากระดาษที่ปริ้นท์ภาพถ่ายของรถตัดอ้อยคันที่เกิดเหตุเมาเผาในเตาไฟ พร้อมทำพิธีเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งเจ้าของรถตัดอ้อย ที่ไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบเยียวยาบรรดาเด็กนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บ 

เผาพริกเผาเกลือสาปแช่ง เจ้าของรถตัดอ้อย ไม่เหลียวแลเด็กบาดเจ็บนานนับปี

นายมานิตย์ เล่าว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทางกลุ่มผู้ปกครองเชื่อว่ารถตัดอ้อยมีส่วนผิดที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากเป็นการนำเอารถตัดอ้อยที่มีขนาดใหญ่มีน้ำหนักมากกว่า 1,600 กิโลกรัม อีกทั้งไม่มีสัญญาณไฟส่องสว่างมาขับบนถนนตั้งแต่ช่วงเช้ามืด แต่ปรากฏว่าในการทำสำนวนคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับดำเนินคดีเพียงคนขับรถตู้โดยสารคันเกิดเหตุ และให้ทางเจ้าของรถตัดอ้อยเสียเพียงค่าปรับเรื่องการนำรถที่ไม่ได้จดทะเบียนมาขับบนท้องถนนจำนวน 400 บาทเท่านั้น โดยไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่ออาการบาดเจ็บ และความเสียหายของเด็กนักเรียนทั้งหมดแต่อย่างใด แม้ทางกลุ่มผู้ปกครองจะพยายามสอบถามถึงชื่อเจ้าของรถตัดอ้อยจากทางตำรวจก็กลับได้รับการปฏิเสธมาโดยตลอด 

อีกทั้งในช่วงระหว่างที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรีมีการเรียกคู่กรณีทั้งหมดมาเจรจาไกล่เกลี่ยนั้น ทางผู้พิพากษาได้มีการขอให้ทางเจ้าของรถตัดอ้อยเดินทางมาร่วมเจรจารับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นร่วมกับทางฝั่งผู้ปกครอง แต่เมื่อถึงวันนัดปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อเจ้าของรถตัดอ้อย รวมถึงทนายความได้ทำให้การเจรจาไกล่เกลี่ยไม่เป็นผล 

เมื่อคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล คนขับรถตู้โดยสารยอมรับสารภาพว่าขับรถโดยประมาท ทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ทางฝั่งเจ้าของรถตัดอ้อยกลับไม่ถูกดำเนินคดี และไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ซึ่งทางกลุ่มผู้ปกครองมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง โดยหลังจากนี้ทางกลุ่มผู้ปกครองจะขอใช้สิทธิ์ทางกฎหมายยื่นฟ้องร้องทั้งทางคดีอาญา และคดีแพ่งต่อเจ้าของรถตัดอ้อย ไม่ว่าผลของการฟ้องร้องในครั้งนี้จะออกมาเป็นอย่างไร ทางกลุ่มผู้ปกครองก็พร้อมยินดียอมรับ เพียงแต่ต้องการให้เจ้าของรถตัดอ้อยได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาลเท่านั้น

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส