กรณีนายไชย์พล วิภา ลุงเขยของน้องชมพู่ ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าน้องชมพู่ ได้แสดงอาการคุกคามสื่อมวลชน จนเกิดเป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลุงพล หลังจากที่ถูกนำเข้าเครื่องจับเท็จ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 25 ม.ค. 64 เวลา 10.00 น. ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี รายงานที่วัดกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เจ้าหน้าที่จากศูนย์ดำรงธรรม จังหวัดมุกดาหาร ได้เดินทางมาเพื่อสอบถามข้อมูลจากยูทูเบอร์ ซึ่งลุงพลและเหล่ายูทูเบอร์ได้เดินทางมาลงทะเบียนและเข้าไปให้ข้อมูล
เมื่อมาถึงลุงพลมีการประกาศให้ยูทูเบอร์ทุกช่องเลิกการไลฟ์สด และไม่ให้ถ่ายคลิป เพื่อความเรียบร้อยในการสอบถามข้อมูลในเรื่องที่ถูกชาวบ้านร้องเรียน และเพื่อไม่ให้เป็นการละเมิดสิทธิ์ของชาวบ้านเมื่อยูทูเบอร์ออกนอกเขตพื้นที่บ้านลุงพล
ด้านนายประหยัด คุณมี ปลัดอาวุโสอำเภอดงหลวง จ.มุกดาหาร ได้เชิญตัวแทนยูทูเบอร์ 4 ช่อง และลุงพลป้าแต๋น มานั่งเพื่อให้ชี้แจงในประเด็นต่าง ๆ โดยการสอบถามข้อมูลในครั้งนี้ ได้ขอความร่วมมือสื่อมวลชนไม่บันทึกเสียง แต่ให้บันทึกภาพในระยะไกลได้ โดยนั่งพูดคุยประมาณ 15 นาที ลุงพลก็ออกมาเชิญยูทูเบอร์คนอื่น ๆ ให้เข้าไปให้ข้อมูล ซึ่งไม่มีการบังคับให้ใครเข้าไป แต่ให้เข้าไปตามสมัครใจ
ขณะเดียวกัน ก็มีตัวแทนยูทูเบอร์และลุงพลออกมาชี้แจงกับสื่อมวลชน โดยนายนิคม พละสิทธิ์ ยูทูเบอร์เจ้าของช่องหนึ่ง ซึ่งเป็นยูทูเบอร์ที่เดินทางมาจาก จ.ปทุมธานี และมาอยู่หมู่บ้านกกกอกกว่า 3 เดือนแล้ว เปิดเผยว่า วันนี้ยูทูเบอร์บ้านลุงพลทุกช่องได้มาให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งตนเป็นตัวแทนยืนยันได้ว่ายูทูเบอร์ทุก ๆ ช่องถ่ายอยู่ในบริเวณบ้านลุงพล ไม่ได้ไปคุกคามคนในหมู่บ้าน
ทั้งนี้งานส่วนใหญ่จะถ่ายกิจวัตรประจำวันของลุงพล และถ่ายความคืบหน้าการสร้าพญานาค ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าพวกเราไปคุกคามยูทูเบอร์ตรงไหน และยืนยันว่าจะติดตามลุงพลเหมือนเดิม ซึ่งเราทำอาชีพนี้ด้วยใจรัก เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของลุงพลให้คนที่สนใจรับทราบ จึงอยากให้เข้าใจด้วยว่าพวกตนไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และยืนยันว่าจะอยู่ ในส่วนของรายได้ตนก็ไม่ทราบว่าเขาได้เงินเท่าไร แต่ตนนั้นยังไม่ได้เงิน
ด้านลุงพล เปิดเผยว่า กรณีที่มีเรื่องยูทูเบอร์จะตบนั้น ตนก็ได้สอบถามยูทูเบอร์และทราบว่ากรณีนั้นเป็นการอ่านคอมเมนต์ของคนดูที่เข้าคอมเมนต์ ซึ่งยูทูเบอร์ที่ได้อ่านคอมเมนต์ว่าจะตบ และพูดออกไป ทำให้คนเข้าใจผิด ยืนยันว่าไม่ใช่การข่มขู่ เชื่อว่ายูทูเบอร์ทุกคนมีวุฒิภาวะ และน่าจะคิดได้ว่าต้องอ่านคอมเมนต์ในลักษณะไหน ซึ่งยูทูเบอร์ของแต่ละช่องก็มีชาวบ้านบางคนที่เขาสนิทและเดินไปหากัน
อย่างไรก็ตาม ตนเจอกับคำหยาบคอมเมนต์ว่าละเป็นพัน ๆ คอมเมนต์ ซึ่งตนจะเตือนไม่ให้ยูทูเบอร์อ่านคอมเมนต์ในด้านลบ และให้อ่านในด้านดี ๆเท่านั้น
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่หน้าบ้านลุงพล ก็ได้มีการเปิดเพลงเต้นเพื่อคล้ายเครียด ซึ่งลุงพลก็ได้เต้นร่วมกับเหล่ายูทูเบอร์ หลังจากเต้นเสร็จก็จะเตรียมตัวไปที่วัดกกกอก เพื่อเข้าพบฝ่ายปกครองของจังหวัดเพื่อเข้าอธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่มีชาวบ้านเข้าร้องเรียนว่าเหล่ายูทูเบอร์ได้คุกคามชาวบ้าน
นายไชย์พล วิภา ยังเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่มีการเต้นหน้าบ้านนั้น เป็นแค่เรื่องการทำไปเพื่อคลายเครียด แต่ไม่ได้เครียดเรื่องคดีที่รุมเร้า แต่โดยปกติตนก็เป็นคนชอบความสนุกสนานแบบนี้อยู่แล้ว นึกอยากเต้นก็เต้น ซึ่งเมื่อช่วงเช้าเต้นไปกว่า 10 เพลง
กรณีที่มีหมายเรียกนั้น ตนก็เตรียมจะดำเนินการแล้ว แต่จะต้องรับทนายตั้มไปช่วยดูเอกสารด้วย ซึ่งตนไม่ได้รู้สึกกังวลในคดีไหนเป็นพิเศษ และจะขอปล่อยไปตามกระบวนการ รวมถึงเรื่องไม้ตนก็ปล่อยไปตามกระบวนการของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงไปตามข้อซักถามแล้ว
สำหรับคดีไม้นั้น ทนายษิทรา ยังเข้าพื้นที่ไม่ได้ จึงต้องขอเลื่อนหมายเรียกกับพนักงานสอบสวนไปก่อน ซึ่งคดีไม้นั้นทนายษิทราและลุงพลไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องที่หนักใจอะไร
ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับ นางนลิน เงินนาม หรือ ป้าถอน อดีตเพื่อนซี้ลุงพล ในฐานะบุคคลที่ถูกแฟนคลับในไลฟ์สดของยูทูเบอร์รายหนึ่ง มีการกล่าวถึงว่าจะตบ จากนั้นกลุ่มแฟนคลับจะจ่ายตบละ 500 บาทนั้น
ป้าถอน บอกว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากที่ตนไปแจ้งกับที่ว่าการอำเภอดงหลวง พร้อมกับมีการแจ้งความ เพื่อร้องขอความเป็นธรรม โดยกลุ่มยูทูเบอร์มีการคุกคามชาวบ้าน รวมทั้งลิดรอนสิทธิ์ จึงต้องการให้หน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือและดูแล จากนั้นพบว่าในคอมเม้นต์ของการไลฟ์สดของกลุ่มยูทูเบอร์มีการกล่าวถึงให้จ้างคนมาตบตีตน ครั้งละ 500 บาท เหมาจ่าย 1,500 บาท ซึ่งตนเห็นคอมเมนต์ดังกล่าวแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายใจ ประกอบกับผู้ที่กำลังไลฟ์ยูทูบอยู่ ก็ยังรับปากกับกลุ่มแฟนคลับว่าจะเป็นคนดำเนินการให้ตามที่มีคนร้องขอ ส่วนตัวในฐานะชาวบ้านคน ไม่เคยมีเรื่องหรือเหตุการณ์แบบนี้ เพราะชาวบ้านกกกอกก็อยู่กันอย่างมีความสุขมาโดยตลอด และชาวบ้านกกกอกก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา ไม่ใช่ต้องไปตบตีอะไรกับใคร
นอกจากนี้ ส่วนตัวไม่ได้ติดใจหรือโกรธกลุ่มยูทูเบอร์และแฟนคลับ แต่เพียงสิ่งที่กลุ่มยูทูเบอร์ต้องทำวันนี้ คือนำดอกไม้ขัน 5 ไปกราบขอขมาพระอาจารย์สมบัติ ที่วัดภูหลวง เพราะเป็นการล่วงเกินพระอาจารย์ ดังนั้นก็ควรที่จะไปขอขมาลาโทษ เพื่อให้ชาวบ้านเกิดความสบายใจ
ส่วนกรณีการขับไล่กลุ่มยูทูเบอร์ออกจากหมู่บ้าน ตนยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจถึงขั้นที่จะต้องขับไล่กัน เพียงแค่ขอให้ไม่ละเมิดสิทธิ์และเข้าใจความเป็นอยู่ของชาวบ้าน แต่การกระทำและคำพูดของกลุ่มยูทูเบอร์ก็มีบางอย่างที่ไม่เหมาะ ที่พูดออกมาว่า "ถ้าหากไล่ยูทูเบอร์ออกหมู่บ้าน ก็จะมีการขับไล่ชาวบ้านกกกอกออกหมู่บ้านเหมือนกัน" ตนไม่รู้ว่าทำไมกลุ่มยูทูเบอร์ถึงมีความคิดแบบนั้น เนื่องจากชาวบ้านก็อยู่อาศัยกันมานานแล้ว หรือเป็นเพราะว่า “กลุ่มยูทูเบอร์เป็นผู้ยิ่งใหญ่ สามารถขับไล่ชาวบ้านออกหมู่บ้านก็ได้”
กรณีที่ชาวบ้านมีการลงชื่อขับไล่ยูทูเบอร์ออกจากหมู่บ้าน เนื่องจากละเมิดสิทธิ์และความสงบของชาวบ้านนั้น ตาชาญ หลาบโพธิ์ ตาของน้องชมพู่ บอกว่า ตนยังยืนยันคำเดิมว่าไม่อยากให้ทั้งยูทูเบอร์หรือนักข่าว ออกไปจากหมู่บ้าน เพราะถ้าไม่มีกลุ่มคนเหล่านี้ ชาวบ้านก็จะไม่รู้ความเคลื่อนไหว เหมือนถูกปิดหูปิดตา แต่การอยู่ร่วมกันก็อยากให้ทำข่าวหรือนำเสนอทั้ง 2 ด้าน ไม่ใช่เพียงแค่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง พร้อมฝากถึงกลุ่มยูทูเบอร์ว่า หากเป็นการละเมิดบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเป็นการนำเสนอพาดพิงและใส่ความ ก็ไม่อยากให้ทำ อยากให้อยู่ตรงกลางแล้วนำเสนอ 2 ฝ่าย และไม่เข้ามารบกวนแม่น้องชมพู่ หรือนำเสนอเพียงแค่ฝ่ายของลุงพลเท่านั้น
ที่สำคัญเวลาที่จะถ่ายหรือนำคลิปไปลงยูทูเบอร์ก็อยากให้ปรึกษา หรือสอบถามเจ้าตัวก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดเรื่องการละเมิดสิทธิ์เกิดขึ้น และตนก็ไม่รู้ว่าในเอกสาร 20 ชุดที่แม่ชมพู่นำไปร้องเรียนต่อที่ว่าการอำเภอดงหลวง มีช่องยูทูบอะไรบ้าง ดังนั้นเพื่อลดปัญหา ก็อยากให้มีการถามกันก่อนที่จะถ่าย เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันในหมู่บ้านได้ โดยไม่กระทบใคร
เวลา 14.30 น. ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้เดินทางมาถึงสนามบิน จ.สกลนคร โดยมีลุงพลและป้าแต๋นมารอรับ ซึ่งทันทีที่มาถึง ทนายตั้มและลุงพลก็ได้เข้ามากอดกัน หลังจากนั้นทนายษิทรา เปิดเผยสั่น ๆ ว่า จะขอไปพูดคุยกับลุงพลให้เสร็จก่อน เนื่องจากตอนนี้ยังเข้าพื้นที่ไม่ได้ และจะแถลงกับสื่อมวลชนในภายหลัง
ต่อมา เวลา 17.00 น. ทนายษิทรา และลุงพล ป้าแต๋น ได้ร่วมแถลงข่าวที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในจ.สกลนคร โดยทนายษิทรา เปิดเผยว่า เมื่อได้พูดคุยกับลุงพลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว พบว่าหากตนจะไปหมู่บ้านกกกอกจะต้องกักตัว 14 วัน เพราะมาจากพื้นที่เสี่ยง ซึ่งตนเป็นทนายความ ต้องทำตามกฎหมายและคำสั่งของจังหวัด แต่ตนรู้สึกน้อยใจที่ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ เพราะไม่สะดวกกักตัว เนื่องจากยังมีคดีที่ต้องทำอีกจำนวนมาก จึงตัดสินใจไม่เข้าพื้นที่ จ.มุกดาหาร จนกว่าจังหวัดจะคลายล็อก
ทนายษิทรา กล่าวต่อว่า ตนต้องขอโทษไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด และสาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร ถึงกรณีโพสต์เฟซบุ๊กและอาจจะกระทบต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยอมรับว่าโพสต์ด้วยอารมณ์ เพราะขณะนั้นน้อยใจที่ได้ประสานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดเป็นการส่วนตัวแล้ว บอกว่าไม่ต้องกักตัว แค่มารายงานตัวในแอปพลิเคชันหมอชนะทุกวัน และตนก็ไปตรวจโควิด-19 ให้ด้วย ซึ่งมีผลเป็นลบ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเข้าจังหวัดได้ ซึ่งคาดว่าอาจเพราะการสื่อสารผิดพลาด ตอนนี้ก็อาจจะต้องเปลี่ยนแผนก่อน รอให้เข้าพื้นที่ได้และเข้าไปหาความจริงว่าน้องชมพู่เสียชีวิตได้อย่างไร
ด้านลุงพล เปิดเผยว่า วันนี้ได้คุยกับทนายตั้มเป็นการส่วนตัว ก็มีปัญหาการเข้าพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาตนก็ถูกกดดันจากหลาย ๆ ด้าน ก็ต้องขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ และวันที่ 26 ม.ค.64 ก็อาจจะพาทนายตั้มไปเที่ยวที่พระธาตุเชิงชุม จ.สกลนคร แทนการลงพื้นที่กกกอก จ.มุกดาหาร
ทนายษิทรา ระบุว่า คดีน้องชมพู่ตนขอเวลาพูดคุยกับลุงพล ส่วนพยานคนอื่นนั้น ตนขอเข้าพื้นที่ก่อนจึงจะเข้าไปคุยกับพยานในพื้นที่ และลุงพลก็ยืนยันว่าไม่มีทางที่น้องชมพู่จะขึ้นไปเองได้ ส่วนนี้ตนต้องขึ้นเขาไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองก่อนถึงจะเชื่อและพิจารณาอีกครั้ง
กรณีที่ตำรวจบอกว่า เส้นผมของน้องชมพู่ถูกตัด ส่วนตัวได้พูดคุยกับนักวิชาการแล้ว ยืนยันว่าในประเทศไทยยังไม่มีเครื่องมือที่จะตรวจสอบ หรือยืนยันได้ว่าเส้นผมถูกตัด หรือขาดเองโดยธรรมชาติ ตำรวจก็อาจจะคาดการณ์ไปเองหรือไม่ ซึ่งตนทราบว่าสาเหตุที่ตำรวจยังไม่ออกหมายจับ เพราะยังคงรวบรวมหลักฐาน และถ้าหมายจับเป็นลุงพล ตนก็จะช่วยประกันตัวลุงพลและสู้คดี แต่ทั้งนี้ตนต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าจะรับทำคดีหรือไม่ ซึ่งตนก็มีแพทย์มีตรวจสอบว่าน้องชมพู่ตายเองหรือไม่ และดูเรื่องโภชนาการว่าน้องชมพู่กินอะไรไปบ้าง เดินได้กี่ชั่วโมงและสารอาหารเพียงพอหรือไม่
ลุงพล กล่าวด้วยว่า ยังเชื่อว่าคนร้ายที่ฆ่าน้องชมพู่ตัวจริงคงนอนไม่หลับ ซึ่งคิดว่าเป็นสิ่งที่คนในสังคมอยากรู้มากที่สุด
ทนายษิทรา ยังบอกอีกว่า กรณีมีคนโอนเงินเข้ามูลนิธิ มูลนิธิทีมงานทนายประชาชนมีจุดประสงค์ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนและไม่ได้รับความเป็นธรรม และบรรยายกฎหมาย ใครที่จะช่วยเหลือและโอนเงินเข้ามูลนิธินั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่การจะเอาเงินมาข่วยลุงพลหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่คณะกรรมการ และลุงพลก็ยังไม่ร้องขอให้มูลนิธิช่วย และส่วนคนที่โอนเงินเข้ามูลนิธิ แต่มีจุดประสงค์จะช่วยลุงพลคนเดึยว และต้องการเงินคืนตนก็จะนำเงินส่วนตัวคืนให้ และยืนยันว่าลุงพลไม่ได้ขอให้ตนทำคดีฟรี
นายไชย์พล วิภา เปิดเผยว่า ตนเพิ่งทราบเรื่องว่ามีแฟนคลับเปิดรับบริจาคเงินเข้าบัญชีมูลนิธิทนายประชาชน ซึ่งตนก็ต้องขอขอบคุณแฟนคลับที่ยื่นมือเข้ามาช่วย เรื่องนี้จะมีการหยุดหรือดำเนินอย่างไรต่อมันก็ขึ้นอยู่กับมูลนิธิฯ ซึ่งตนก็ไม่ได้ขอ แต่เขาโอนมาให้เพราะอยากช่วยเหลือจริง ๆ
นายแถน เงินนาม หรือ ผู้ช่วยจ่อย อายุ 44 ปี หนึ่งในชาวบ้าน 49 คน ที่เดินทางไปช่วยงานเทปูนและได้รับค่าจ้างจากลุงพล เปิดเผยว่า ตนเดินทางไปช่วยงานเทปูน ที่วัดภูหลวง จำนวน 3 วัน จะได้ค่าจ้างประมาณ 900 บาท และภรรยาของตนไปช่วย 2 วัน จะได้รับค่าจ้าง 600 บาท รวมเป็นเงิน 1,500 บาท โดยวันนี้ทางผู้ใหญ่บ้านได้ประกาศเสียงตามสายให้ชาวบ้านมารับเงินค่าแรง เพราะเนื่องจากลุงพลได้นำเงิน จำนวน 27,150 บาทมาให้ผู้ใหญ่บ้าน
จากนั้นพบว่าบางคนก็จะขอหักค่าแรงเอาไว้ใช้จ่าย แต่บางคนก็ไม่หักแม้แต่บาทเดียว และถวายให้กับพระสมบัติทั้งหมด เช่นเดียวกับตน ได้เงิน 1,500 บาท ขอหักใช้ส่วนตัว 500 บาท จึงถวาย 1,000 บาท และชาวบ้านก็จะนำเงินที่หักแล้วมาลงขันกัน รวมเงินที่ถวายวันนี้ คือ 21,250 บาท
แม้ว่าที่ผ่านมาลุงพลจะบอกว่า มียอดเงินบริจาคกว่า 8 แสนบาท และมีการใช้จ่ายไปแล้ว เหลือประมาณ 1 แสนกว่าบาท ตนและผู้ใหญ่บ้านได้เข้าไปคุยกับลุงพลเมื่อคืนนี้ที่บ้าน โดยลุงพล ได้นำเอกสารและบิลมาแสดง ว่ามีการจ่ายส่วนไหนบ้าง ซึ่งก็ถือว่ามีเอกสารครบถ้วน และลุงพลบอกว่าจะถ่ายสำเนาเอาไว้ให้ ทั้งนี้ตนยอมรับว่าก่อนหน้าก็มีความกังวลเรื่องความไม่โปรงใสของลุงพล แต่หลังจากเห็นบิลและเอกสาร ค่อนข้างที่จะสบายใจมากขึ้น
พระบุญมา ศรีลเตโช หรือ พระอาจารย์บุญมา บอกว่า กรณีการทุบหรือสั่งให้มีการรื้อถอนพญานาค เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่จะบังคับด้วยกฎหมาย หรือต้องไปทำความเข้าใจกับคนที่เป็นคนสร้าง อาตมาขอไม่ก้าวล่วง เพราะเป็นเรื่องระหว่างป่าไม้กับเจ้าของ แต่ในเมื่อสอบถามว่าควรที่จะให้ทุบหรือไม่ อาตมาขอไม่แสดงความคิดเห็น ให้ดูสถานการณ์หลังจากนี้ว่าจะไปในแนวทิศทางใด บวกหรือลบ
ส่วนกรณีที่พระอธิการอนุชา หรือ พระพล จากวัดดานพระอินทร์ กุนซือของลุงพล ออกมาเปิดเผยว่า หากมีการทุบพญานาคทิ้ง ก็ต้องเกี่ยวพันกับสิ่งก่อสร้างในหมู่บ้านด้วยนั้น พระบุญมา บอกว่า เรื่องแบบนี้ควรแยกออกจากกัน ไม่ควรนำมารวมกัน เพราะที่ผ่านมาในหมู่บ้านก็มีความสมานฉันท์และปรองดองกันมาตลอด หากนำเรื่องนี้มาเกี่ยวโยงกับชาวบ้านกลัวว่าจะเกิดความขัดแย้ง อีกครั้งชาวบ้านบางส่วนก็มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฏหมาย (เอกสารที่ดิน สค.1) แต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ยังอนุโลมให้ชาวบ้านบางส่วนที่ไม่มีเอกสาร ยังทำมาหากินอยู่ได้ ภายใต้ของการอยู่อาศัยและทำมาหากิน แต่การสร้างหรือใช้ประโยชน์จากที่ดินในพื้นที่ ก็ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของหน่วยงานที่ระบุเอาไว้
ขณะที่ลุงพลได้เปิดรับบริจาคช่วยเหลือวัดภูหลวง จนกระทั่งเกิดกระแสดราม่า ที่พระสมบัติไม่รับเงินจากลุงพลอีก เพื่อลดปัญหา ด้านพระอธิการบุญมาจากวัดภูผาแอก บอกว่า ตนเคยได้ยินมาครั้งหนึ่ง ซึ่งลุงพลมาสอบถามว่าจะมีการเปิดบัญชีรับบริจาคเพื่อบูรณะและสร้างสาธารณูปโภคภายในวัดภูผาแอก แต่ก็ยังไม่เกิดความชัดเจน จนกระทั่งเงียบหายไป และทราบอีกทีไปเปิดรับบริจาคช่วยเหลือที่วัดภูหลวง แต่หากลุงพลจะรับบริจาคหรือมาช่วยเหลือวัดภูผาแอก อาตมายังไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องของอนาคต “เขาเคยมาพูดลอย ๆ ว่าจะช่วย แต่ยังไม่มีติดต่อหรือเข้ามาคุย”