การก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลของโทรทัศน์ไทยเมื่อสิบปีก่อน เป็นดังความหวังที่จะนำพาอุตสาหกรรมนี้ไปสู่ยุคใหม่แห่งความก้าวหน้า ทว่าเส้นทางที่ผ่านมาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ย่อมมาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องเผชิญ และทีวีดิจิทัลไทยก็เช่นกัน
บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณสำรวจเส้นทางตลอดทศวรรษที่ผ่านมาของทีวีดิจิทัลไทย เจาะลึกถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งนำเสนอมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และที่ขาดไม่ได้คือข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จะช่วยนำพาทีวีดิจิทัลไทยไปสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน ขอเชิญทุกท่านร่วมเดินทางไปกับเรา เพื่อทำความเข้าใจถึงความเป็นมา ปัญหา และความหวังของทีวีดิจิทัลไทย และร่วมกันหาคำตอบว่าเราจะสามารถสร้างอนาคตที่สดใสให้กับสื่อที่ทรงคุณค่านี้ได้อย่างไร
ปี 2567 นับเป็นปีที่ครบรอบทศวรรษแรกของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการโทรทัศน์ไทย ด้วยการเปลี่ยนผ่านจากระบบอนาล็อกสู่ระบบดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความก้าวหน้านี้ ผู้ประกอบการทั้งในส่วนของโครงข่ายและช่องรายการโทรทัศน์ต่างเผชิญกับความท้าทายที่หนักหน่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ประกอบการช่องรายการที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยการประมูลใบอนุญาต
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ ได้ให้ความเห็นถึงสถานการณ์ปัจจุบันของอุตสาหกรรมโทรทัศน์ดิจิทัล
ย้อนกลับไปในปี 2556 ความหวังและความฝันของทีวีดิจิทัลไทยเริ่มต้นด้วยเม็ดเงินประมูลใบอนุญาตมูลค่ากว่าห้าหมื่นล้านบาท ตัวเลขที่สูงลิ่วนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าอุตสาหกรรมการแพร่ภาพและกระจายเสียงของไทยมีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แต่ความจริงที่น่าเศร้าคือ นี่เป็นผลพวงจากการบังคับให้มีการประมูลใบอนุญาต ซึ่งต่างจากนานาประเทศที่มองว่ากิจการนี้เป็นบริการสาธารณะ
แม้ คสช. จะพยายามเยียวยาด้วยเงินช่วยเหลือกว่าสามหมื่นล้านบาท แต่ก็ไม่สามารถลบล้างต้นทุนมหาศาลของการดำเนินธุรกิจทีวีได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าอุปกรณ์ เทคโนโลยี บุคลากร และการผลิตเนื้อหา ยิ่งไปกว่านั้น การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มใหม่ๆ ยิ่งทำให้ทีวีดิจิทัลสูญเสียผู้ชมไปเรื่อยๆ จนถูกขนานนามว่าเป็น "อุตสาหกรรมที่กำลังจะลับหาย"
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าปัญหาของทีวีดิจิทัลไทยเริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบใบอนุญาตที่แยกย่อยประเภทช่องมากเกินไป การบังคับให้มีการประมูล ความล้มเหลวในการแจกจ่ายคูปองและกล่องทีวีดิจิทัลที่มีคุณภาพต่ำ รวมถึงความล่าช้าของ MUX ทำให้แม้เวลาจะผ่านไปเป็นสิบปี ประชาชนกว่าร้อยละ 60 ยังคงต้องรับชมทีวีดิจิทัลผ่านดาวเทียม
ช่องว่างสำคัญที่เกิดขึ้นคือ ผู้ประกอบการช่องรายการไม่สามารถควบคุมการเข้าถึงผู้ชมได้เอง ต้องพึ่งพาโครงข่ายภายนอก แม้จะลงทุนไปอย่างมหาศาล ซึ่งต่างจากยุคอนาล็อกที่แต่ละสถานีมีโครงข่ายเป็นของตัวเอง การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลทำให้จำนวนผู้เล่นในตลาดเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ยังไม่รวมสื่อใหม่อย่างแพลตฟอร์มออนไลน์และผู้ผลิตเนื้อหาบนแพลตฟอร์มที่เข้ามาแย่งชิงเม็ดเงินโฆษณา ทำให้เค้กเดิมต้องถูกแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนไม่เพียงพอต่อการอยู่รอดของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล
ไม่ทันที่ทีวีดิจิทัลไทยจะตั้งตัวได้มั่นคง ก็ต้องเผชิญกับคลื่นดิสรัปชันครั้งใหญ่จากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและ 5G การมาถึงของแพลตฟอร์มดิจิทัลและสตรีมมิ่งต่างๆ (OTT) ที่สามารถส่งมอบเนื้อหาได้อย่างลื่นไหลทุกที่ทุกเวลาผ่านทุกอุปกรณ์ (ATAWAD) ตรงใจผู้บริโภคยุคดิจิทัล โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และคนเมืองที่คุ้นเคยกับการเสพสื่อผ่านสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์พกพาอื่นๆ
ตัวเลขจากการสำรวจล่าสุดเผยให้เห็นภาพที่ชัดเจน: ผู้บริโภคไทยกว่าร้อยละ 54 หันไปรับชมโทรทัศน์ผ่าน OTT แล้ว แพลตฟอร์มเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นของบรรษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่มีทั้งเงินทุนมหาศาลและเทคโนโลยีล้ำสมัย อีกส่วนแม้จะ เป็นผู้ประกอบการโทรคมนาคมในประเทศ แต่ก็มาจากทุนที่ใหญ่กว่าผู้ประกอบการด้านโทรทัศน์อย่างยิ่ง การแข่งขันจึงไม่ได้อยู่บนสนามที่เท่าเทียม (level-playing field) สำหรับผู้ประกอบการโทรทัศน์แบบดั้งเดิม
ในอนาคตอันใกล้ วงการสร้างสรรค์เนื้อหาอาจต้องเผชิญกับการปฏิรูปครั้งสำคัญ เมื่อ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ เริ่มเข้ามามีบทบาทในการทำงานสื่อหลายแขนง เพื่อประเมินศักยภาพของ AI เราจึงได้ทดลองใช้ Chat GPT ในการวิเคราะห์ปัญหาและความท้าทายของทีวีดิจิทัลในประเทศไทย
ผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพอใจ Chat GPT สามารถระบุประเด็นปัญหาและความท้าทายสำคัญได้อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งถือเป็นความท้าทายหลักที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ Chat GPT ยังได้นำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เป็นประโยชน์ อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน การปรับปรุงกฎระเบียบและนโยบาย การส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม การลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัย และการพัฒนาเนื้อหาที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม แม้ AI จะมีความสามารถในการวิเคราะห์และนำเสนอข้อเสนอแนะ แต่การแก้ไขปัญหาและความท้าทายต่างๆ ในภาคปฏิบัติจริงยังคงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลของไทยไปสู่ยุคใหม่ที่มั่นคงและยั่งยืน
เพื่อให้ได้ภาพที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น เราได้พูดคุยกับผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญในวงการทีวีดิจิทัลถึงปัญหาและความท้าทายที่พวกเขาเผชิญ โดย คุณสุภาพ คลี่ขจาย นายกสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตัล (ประเทศไทย) ชี้ให้เห็นถึงปัญหาสำคัญของทีวีดิจิทัลในปัจจุบัน คือ การขาดรายได้จากค่าโฆษณา อันเป็นผลมาจากการแข่งขันที่รุนแรงจากสื่อใหม่ๆ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง โดยเฉพาะค่าเช่าช่องสัญญาณและค่าผลิตเนื้อหา ก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญ
คุณสุภาพกล่าวเสริมว่า ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลกำลังปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น OTT และการพัฒนาเนื้อหาที่น่าสนใจ นอกจากนี้ ยังมีการหารือกับ กสทช. เพื่อขอความช่วยเหลือในการลดค่าเช่าช่องสัญญาณและปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ทางด้าน ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ด้านกิจการโทรทัศน์ ยืนยันว่า กสทช. รับทราบถึงปัญหาและความท้าทายของทีวีดิจิทัล และกำลังดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบ ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ
ดร.พิรงรองยังเปิดเผยถึงแนวทางการช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น การพิจารณาลดค่าเช่าช่องสัญญาณและขยายระยะเวลาใบอนุญาต รวมถึงการส่งเสริมการพัฒนาเนื้อหาที่น่าสนใจและการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการผลิตรายการโทรทัศน์
จากการแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้ที่อยู่ในแวดวงทีวีดิจิทัล ทั้งผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญ เราได้เห็นภาพร่วมกันว่า ทีวีดิจิทัลไทยกำลังเผชิญกับคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการปรับตัวอย่างรวดเร็วและชาญฉลาดคือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การอยู่รอด
อย่างไรก็ตาม แม้เส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ทุกคนยังคงมีความหวัง ทีวีดิจิทัลไทยยังมีโอกาสที่จะก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้ไปได้ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจังและมุ่งมั่น
ผู้ชมเองก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ โดยการเลือกรับชมเนื้อหาที่มีคุณภาพและหลีกเลี่ยงการสนับสนุนการละเมิดลิขสิทธิ์ ทีวีดิจิทัลยังคงเป็นสื่อที่มีศักยภาพในการให้ความรู้ สร้างความบันเทิง และเชื่อมโยงสังคม หากได้รับการสนับสนุนและพัฒนาอย่างเหมาะสม ทีวีดิจิทัลจะยังคงเป็นสื่อที่ยั่งยืนและมีคุณค่าต่อสังคมไทย
จากการวิเคราะห์ปัญหาและความท้าทายที่ทีวีดิจิทัลไทยกำลังเผชิญ ผู้เขียนขอเสนอแนวทางเชิงนโยบายเพื่อนำพาอุตสาหกรรมนี้ไปสู่ความยั่งยืน:
1. ปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
2. ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
3. ส่งเสริมการพัฒนาเนื้อหา
4. ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม
5. สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน
6. ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
ข้อเสนอแนะเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น การทำให้ทีวีดิจิทัลไทยเติบโตอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน หากร่วมมือกันอย่างจริงจัง ทีวีดิจิทัลไทยจะสามารถก้าวผ่านความท้าทายและเป็นสื่อที่ทรงคุณค่าสำหรับสังคมไทยต่อไปได้อย่างแน่นอน
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคทีวีดิจิทัลในประเทศไทย ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมโทรทัศน์ไทย ทว่าเส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ยังมีอุปสรรคและความท้าทายมากมายที่รอการแก้ไข ทั้งในด้านเทคนิค กฎระเบียบ และการปรับตัวของผู้ประกอบการเอง
ในโอกาสครบรอบ 10 ปีของการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ นับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะได้ร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสและยั่งยืนให้กับทีวีดิจิทัลไทย บทความนี้จะเป็นเสมือนกระบอกเสียงเล็กๆ ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการตระหนักรู้ในวงกว้าง และจุดประกายให้เกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนอย่างสร้างสรรค์ เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางและอนาคตของทีวีดิจิทัลในประเทศไทย
คำถามสำคัญที่ยังคงรอคำตอบ คือ ทีวีดิจิทัลไทยจะสามารถปรับตัวและพัฒนา เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ชม สร้างความหลากหลายทางความคิด และมีบทบาทในการพัฒนาสังคมไทยต่อไปได้หรือไม่ คำตอบนั้นขึ้นอยู่กับความร่วมมือและความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนในการร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตของทีวีดิจิทัลไทย
ที่มา หนังสือคอนเทนต์ทีวีไทยฯ จาก ADTEB