บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณย้อนรอยเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่วิกฤตต้มยำกุ้ง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจ การลงทุนที่เกินตัว ภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ความเปราะบางของสถาบันการเงิน ไปจนถึงการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวิกฤตการณ์
นอกจากนี้ เราจะพาคุณไปสำรวจมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ ทั้งในช่วงที่เกิดวิกฤตและช่วงหลังวิกฤต รวมถึงบทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยได้รับจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ และการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตซ้ำรอยในอนาคต แม้เวลาจะผ่านไปนานกว่าสองทศวรรษ แต่บทเรียนจากวิกฤตต้มยำกุ้งยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และการวางรากฐานเพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจไทยในอนาคต
2 กรกฎาคม 2540 ถือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเศรษฐกิจไทย เมื่อประเทศไทยต้องเผชิญกับพายุเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เมื่อรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท และจำต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF วิกฤตการณ์นี้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "วิกฤตต้มยำกุ้ง" ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจไทย และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย
จุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์เกิดจากการเก็งกำไรค่าเงินบาทอย่างรุนแรง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความไม่สมดุลในภาคเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตการณ์ มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์ ตัวอย่างเช่น การก่อสร้างคอนโดมิเนียมหรูหรา โรงแรม และโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด การลงทุนที่มากเกินไปนี้ นำไปสู่ภาวะฟองสบู่ราคาสินทรัพย์ และส่งผลให้เกิดการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน นโยบายการเงินของไทยในขณะนั้นที่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ แม้จะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดการเงิน แต่กลับส่งผลให้ผู้กู้และผู้ให้กู้ประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป เนื่องจากเชื่อมั่นว่าค่าเงินบาทจะไม่ผันผวน ทำให้เกิดความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจ ทั้งในส่วนของระยะเวลาของตราสารทางการเงินในภาคธนาคาร เช่น การกู้ยืมเงินระยะสั้นมาลงทุนในโครงการระยะยาว และปริมาณเงินตราต่างประเทศในงบดุลของภาคเอกชน
นอกจากนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนวิกฤตการณ์ หรือที่เรียกกันว่า "ยุคฟองสบู่" ยังส่งผลให้ภาคธนาคารขาดความสามารถในการประเมินความเสี่ยง และการกำกับดูแลสินเชื่อก็ขาดความรัดกุม เนื่องจากสถาบันการเงินจำนวนมากปล่อยกู้โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เมื่อเกิดปัญหาสภาพคล่องจากการถอนเงินลงทุนจากต่างประเทศ สถาบันการเงินหลายแห่งจึงต้องประสบภาวะล้มละลาย หรือถูกสั่งปิดกิจการ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและประชาชนทั่วไป
ปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยต้องเผชิญกับพายุร้ายทางเศรษฐกิจที่โหมกระหน่ำจนยากจะต้านทาน วิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากปัจจัยหลายประการที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลานาน เสมือนรอยร้าวเล็กๆ ที่ค่อยๆ กัดกร่อนโครงสร้างทางเศรษฐกิจจนในที่สุดก็พังทลายลง โดยมี มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
วิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2540 หรือที่เรียกกันว่า "วิกฤตต้มยำกุ้ง" ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540
1.การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง : ในช่วงปี 2530-2539 เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับขาดดุลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสูงถึง 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงก่อนวิกฤตการณ์ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความไม่สมดุลระหว่างการนำเข้าและส่งออก โดยประเทศไทยนำเข้าสินค้าและบริการมากกว่าส่งออก ส่งผลให้ต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศมากขึ้น และเสี่ยงต่อการไหลออกของเงินทุนเมื่อเกิดความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การส่งออกที่หดตัวลงอย่างรุนแรงในปี 2539 จากที่เคยขยายตัวสูงถึง 24.82% ในปีก่อนหน้า ยิ่งตอกย้ำถึงความเปราะบางของภาคการส่งออกของไทย
2.ปัญหาหนี้ต่างประเทศ : การเปิดเสรีทางการเงินในช่วงปี 2532-2537 ทำให้ภาคธุรกิจไทยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ประเทศไทยประกาศรับพันธะสัญญาข้อที่ 8 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในปี 2533 และอนุญาตให้จัดตั้งกิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) ในปี 2535 สถาบันการเงินไทยจำนวนมากจึงกู้ยืมเงินตราต่างประเทศในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อนำมาปล่อยกู้ในประเทศ ส่งผลให้หนี้ต่างประเทศของไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหนี้ระยะสั้น ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 65% ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด ณ สิ้นปี 2540 หนี้เหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ภาระหนี้จึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
3.การลงทุนเกินตัวและภาวะฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ : ในช่วงปี 2530-2539 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างรวดเร็ว ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดภาวะฟองสบู่จากการเก็งกำไรและการลงทุนที่เกินความเป็นจริง มีการสร้างอาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม และโครงการที่อยู่อาศัยจำนวนมากเกินความต้องการของตลาด เมื่อฟองสบู่แตก ราคาอสังหาริมทรัพย์ร่วงลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดหนี้เสียจำนวนมากในระบบสถาบันการเงิน และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
4.ความไม่มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสถาบันการเงิน : เนื่องจากสถาบันการเงินหลายแห่งปล่อยสินเชื่อโดยขาดการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และขาดการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การปล่อยกู้ให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง หรือการปล่อยกู้ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความสามารถในการชำระหนี้ต่ำ ปัญหาหนี้เสีย (NPL) ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่สูงถึง 52.3% ของสินเชื่อทั้งหมดในเดือนพฤษภาคม 2542 สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของระบบสถาบันการเงินในขณะนั้น
5.ความไม่มีประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบาย : การเปิดเสรีทางการเงินโดยที่ยังคงใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ และขาดมาตรการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจ และเปิดช่องให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท นอกจากนี้ การขาดความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในการดำเนินนโยบายของภาครัฐ ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
6.การโจมตีค่าเงินบาท (currency attack) : เมื่อนักลงทุนต่างชาติมองเห็นสัญญาณความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย พวกเขาจึงเริ่มโจมตีค่าเงินบาทด้วยการเทขายเงินบาทจำนวนมาก ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว และนำไปสู่การประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในที่สุด
วิกฤตการณ์ทางการเงินที่ถาโถมเข้าใส่ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2540 หรือที่รู้จักกันในชื่อ "วิกฤตต้มยำกุ้ง" ได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อระบบเศรษฐกิจ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อกอบกู้สถานการณ์และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่บอบช้ำ โดยสามารถแบ่งช่วงเวลาการดำเนินการออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้
ในช่วงแรกของวิกฤต รัฐบาลต้องตัดสินใจครั้งสำคัญในการปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เพื่อให้ค่าเงินเป็นไปตามกลไกตลาด นอกจากนี้ ยังได้ขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยลงนามในข้อตกลงเงินกู้เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2540 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
มาตรการเร่งด่วนอื่นๆ ในช่วงนี้ ได้แก่ การปิดสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาถึง 58 แห่ง และการจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) และบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เสียและฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบการเงิน นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดำเนินนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระทางการเงินของรัฐ
หลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤต รัฐบาลได้มุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูเศรษฐกิจและเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยใช้นโยบายดอกเบี้ยสูงเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท รวมถึงการฟื้นฟูสถาบันการเงินที่เหลืออยู่ โดยมีเพียง 2 แห่งที่สามารถกลับมาดำเนินกิจการได้ ส่วนที่เหลือต้องเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชี
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง เช่น การกู้เงินจากญี่ปุ่นตามแผนมิยาซาว่าจำนวน 53,000 ล้านบาท การลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 10% เหลือ 7% และการลดภาษีน้ำมัน 23,800 ล้านบาท รวมถึงการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบเพื่อส่งเสริมการส่งออก
มาตรการอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ การจัดตั้งกองทุนร่วมกับบรรษัทการเงินระหว่างประเทศเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนในการปรับโครงสร้างหนี้ การเพิ่มทุนให้กับอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และการสนับสนุนให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ปล่อยกู้เพื่อซื้อบ้านจำนวน 5,000 ล้านบาท
วิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ที่สั่นสะเทือนประเทศไทยในปี พ.ศ. 2540 หรือที่รู้จักกันในชื่อ "วิกฤตต้มยำกุ้ง" ได้กระตุ้นให้เกิดการทบทวนและปฏิรูปเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตซ้ำรอยในอนาคต หนึ่งในบทเรียนสำคัญที่ได้รับคือ ความจำเป็นในการสร้างกลไกป้องกันความเสี่ยงทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและรับมือกับผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระบบการเงิน
ในปี พ.ศ. 2542 ประเทศสมาชิกอาเซียน+3 (อาเซียน 10 ประเทศ, จีน, ญี่ปุ่น, และเกาหลีใต้) ได้ร่วมกันจัดตั้ง "แนวคิดริเริ่มเชียงใหม่" หรือ CMI ซึ่งเป็นข้อตกลงจัดตั้งกองทุนเพื่อการกู้ยืมทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อช่วยเหลือประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาขาดดุลการชำระเงินหรือขาดสภาพคล่องในระยะสั้น CMI เป็นบทเรียนสำคัญที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ปี 2540 ที่หลายประเทศต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยไม่มีทางเลือกอื่น
CMI เริ่มต้นจากการเป็นกลไกความร่วมมือทางการเงินในรูปแบบทวิภาคี แต่ต่อมาได้พัฒนาเป็นรูปแบบพหุภาคีในชื่อ “มาตรการริเริ่มเชียงใหม่พหุภาคี” (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) โดยมีวงเงินสูงถึง 240,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเสริมสภาพคล่องและเป็นส่วนเสริมความช่วยเหลือด้านการเงินที่ได้รับจาก IMF
ในปี พ.ศ. 2559 กลุ่มประเทศอาเซียน+3 ได้จัดตั้ง AMRO ขึ้นอย่างเป็นทางการในฐานะองค์การระหว่างประเทศ ณ ประเทศสิงคโปร์ AMRO มีหน้าที่ติดตามภาวะเศรษฐกิจ ประเมินแนวโน้ม ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจการเงิน และให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายแก่ประเทศสมาชิก รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานของ CMIM การจัดตั้ง AMRO ถือเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกการเฝ้าระวังและเตือนภัยทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
วิกฤตการณ์ปี 2540 ได้เผยให้เห็นถึงความเปราะบางของประเทศที่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนระยะสั้นจากต่างประเทศ กลุ่มประเทศอาเซียน+3 จึงได้ริเริ่มโครงการ ABMI ในปี พ.ศ. 2546 เพื่อพัฒนาตลาดพันธบัตรในภูมิภาค โดยเน้นการออกพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของตลาดพันธบัตร ABMI ช่วยเพิ่มช่องทางในการระดมทุนระยะยาวให้แก่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในภูมิภาค
บทเรียนสำคัญอีกประการหนึ่งจากวิกฤตต้มยำกุ้ง คือ การตระหนักถึงคุณค่าของหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด หลักเศรษฐกิจพอเพียงเน้นความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
โดยผู้บริหารทั้ง 3 ท่าน ได้มีมุมมองในทางเดียวกันว่า โอกาสที่จะเกิดเหตุการณืในอดีตมีความเป็นไปได้น้อยมาก เนื่องจากประเทศไทยได้เรียนรู้จากความเจ็บปวดในอดีตได้มีมีการวางแนวทางการป้องกันและแก้ไข เพื่อไม่ให้อดีตซ้ำรอย
ในมุมมองของ คุณชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้แสดงมุมมองในเรื่องนี้กับ SPOTLIHT ว่า ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง สถาบันการเงินจะให้ความสำคัญกับหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ในปัจจุบันสถาบันการเงินให้ความสำคัญกับ กระแสเงินสดในบริษัทมีเพียงพอในการนำมาชำระหนี้หรือไม่มากกว่า
ปัจจุบันอัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัทไทยส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับ 1 เท่า ถ้าเทียบกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งที่ประมาณ 6-7 เท่า ภายหลังจากที่มีการลอยตัวค่าเงินบาท และปัจจุบันบริษัทสามารถระดมเงินทุนได้จากแหล่งอื่น นอกเหนือจากการกู้เงิน อาทิเช่น การออกหุ้นกู้
อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเป็นการเติบโตในอัตราที่ช้าลง เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปัจจุบัน GDP ไทยโตเฉลี่ยประมาณ 3% เมื่อเทียบกับช่วงลอยตัวค่าเงินบาท หรือวิกฤตต้มยำกุ้งที่ 6-7%ภาคธุรกิจเองมีการขยายตลาดมาทั้งในและตลาดต่างประเทศ ไม่ได้ขยายไปตลาดต่างประเทศเหมือนเช่นช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวกับ SPOTLIGHT ว่า “เศรษฐกิจไทยมีโอกาสน้อยมากที่จะซ้ำรอยวิกฤตต้มยำกุ้ง เนื่องจาก เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยมีหนี้ต่างประเทศในระดับต่ำ ขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ก็อยู่ในระดับสูง ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับบรรดานักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี”
ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน จะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจไทยก็มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องและอาจกลับมาขยายตัวได้ราว 3% โดยเฉลี่ย (อ้างอิงคาดการณ์ของ IMF จนถึงปี 2029) ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดก็มีแนวโน้มกลับมาเกินดุลมากขึ้น ตามการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากนี้ ภาคธุรกิจก็มีความระมัดระวังในการกู้ยืมมากขึ้นและมีการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ยที่ดีขึ้นชัดเจน
ในด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน จะเห็นได้ว่า บทเรียนจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ได้ทำให้ ทางธนาคารแห่งประเทศไทย ได้พัฒนาแนวทางและยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลสถาบันการเงินมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ล่าสุด ฐานะการเงินของสถาบันการเงินอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีเงินทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระดับที่เพียงพอตามเกณฑ์สากล และสถาบันการเงินก็มีความระมัดระวังในการปล่อนสินเชื่อ ซึ่งช่วยคุมไม่ให้ NPL สูงเกือบ 50% เหมือนในช่วงวิฤตต้มยำกุ้ง
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะไม่ได้ซ้ำรอยวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ทั้งจากปัจจัยภายนอก เช่น ความเสี่ยงผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความเสี่ยงสงครามการค้า
รวมถึง ความเสี่ยงจากปัจจัยภายในประเทศ อย่าง ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมือง และปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรัง ทำให้เรามองว่า บรรดาผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยให้เต็มที่ เพื่อจะได้ทุ่มเวลาให้กับการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท
ทั้งนี้ Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย มองว่า ปัจจุบันเครื่องมือในการปิดความเสี่ยงดังกล่าวมีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้ทางผู้ประกอบการเองก็ควรพัฒนากลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงให้ดียิ่งขึ้น เช่น ในส่วนของการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ทางผู้ประกอบการก็สามารถประยุกต์ใช้กลยุทธ์ Option ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงได้
น.ส.รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหาร ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “SPOTLIGHT” ได้กล่าวถึงนโยบายการเงินของไทย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยนโยบายและการเปลี่ยนมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวภายใต้การจัดการ (Managed Float) ว่า เป็นการมุ่งเน้นการดูแลเสถียรภาพของระบบและเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว ถือเป็นการถอดบทเรียนสำคัญครั้งประวัติศาสตร์จากวิกฤติสถาบันการเงิน โดยกลไกตลาดสามารถสะท้อนพื้นฐานของค่าเงินและเศรษฐกิจได้ดีกว่า แม้อาจได้รับความผันผวนจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำเป็นระยะก็ตาม
“ ขณะนี้สถานะด้านการต่างประเทศของไทยแข็งแกร่งขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงปี 40 หากพิจารณาจากทุนสำรองระหว่างประเทศและหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ความแข็งแกร่งดังกล่าวช่วยประคองค่าเงินบาทได้ในระดับหนึ่ง แต่ในอนาคตอาจต้องระวัง เมื่อเรามีแนวโน้มเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงท่ามกลางขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศถดถอย”
กรุงศรี มองค่าเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้ มีแนวโน้มแข็งค่าเล็กน้อย โดยให้น้ำหนักสำคัญไปที่ผลกระทบจากภาวะดอกเบี้ยสูงยาวนานต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะชะลอตัวลงชัดเจนมากขึ้น และเอื้อให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)สามารถลดดอกเบี้ยได้มากกว่า 1 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้เงินดอลลาร์เข้าสู่วัฎจักรขาลง อย่างไรก็ดี ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ขาดความโดดเด่นจะจำกัดการแข็งค่าของเงินบาท รวมถึงความเสี่ยงด้านสงครามการค้าในระยะข้างหน้า
วิกฤตต้มยำกุ้ง ถือเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับประเทศไทย แม้เวลาจะผ่านมาถึง 27 ปีแล้ว ผลกระทบจากวิกฤตการณ์ครั้งนั้นยังคงส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง การเรียนรู้จากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราเข้าใจถึงสาเหตุและป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตซ้ำรอย แต่ยังช่วยให้เราสามารถรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในอนาคต
ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย