ชั่วโมงนี้ จะมองข้าม “จีน” ไปไม่ได้แล้ว ทั่วโลกส่องสปอตไลท์ฉายไฟเฝ้ารอการพบกันระหว่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” กับ “แจ็ก หม่า” ผู้ก่อตั้งบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่างอาลีบาบา กรุ๊ป (Alibaba Group)
นับเป็นข่าวบวกข่าวใหญ่เป็นครั้งที่สองของต้นปีนี้ ที่เป็นปัจจัยหนุนให้กับตลาดหุ้นจีน แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากตลาดได้รับปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมา รับข่าวดีเรื่องแรกของปีนี้ นั่นคือ การเปิดตัว AI รุ่นใหม่ของ DeepSeek ที่ทำโลกตะลึง โดยโมเดล AI ดังกล่าวได้รับการยอมรับว่า เป็นตัวเปลี่ยนเกม (game-changer) ในอุตสาหกรรม AI โลกครับ
นอกจากนี้ ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่สัปดาห์ ความเคลื่อนไหวของหุ้นเทคฯ จีนร้อนแรงจริงๆ หลังจาก “DeepSeek” ซึ่งเป็นธุรกิจสตาร์ตอัปของจีนเปิดตัว “DeepSeek R1” เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้ตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย
ท่ามกลางกระแสเงินลงทุนหลั่งไหลเข้าสู่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีน ดันมูลค่าในตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้นราว 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในเวลานี้ ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ มูลค่าของบริษัทที่ทุ่มทุนด้านฮาร์ดแวร์เพื่อพัฒนา AI หายวับกว่าล้านล้านดอลลาร์
การปรับตัวขึ้นของหุ้นจีนเวลานี้ ถือว่าแพงไปไหม ส่วนหุ้นสหรัฐฯ ที่ขึ้นไปต่อเนื่อง 2-3 ปีมานี้ ยังสามารถลงทุนได้หรือไม่ ผมจะมาอัพเดตสถานการณ์ให้ฟังครับ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนของคุณ ที่ยังลังเลว่าจะเลือกหุ้นเทคฯ จีนหรือหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ ดี? ทั้งสำหรับคนที่ถืออยู่ในพอร์ตแล้ว และคนที่อยากจะลงทุนใหม่หรือซื้อเพิ่มดีมั้ย?
นับตั้งแต่เปิดตัว AI ใหม่ของ DeepSeek ที่นอกจากเป็นแรงกระเพื่อมเปลี่ยนขั้วโลกผู้นำเทคโนโลยีมาสู่ฝั่งจีนแล้วยังสร้างปรากฏการณ์ให้นักลงทุนไหลกลับเข้าตลาดหุ้นจีนอีกครั้ง ทำให้ตลาดหุ้นจีน A Share ร้อนแรงปรับตัวขึ้นไปถึง 7% ในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว และทำให้ผลตอบแทนหุ้นจีน ตั้งแต่ต้นปีจนถึงกลางเดือนก.พ. (YtD) บวกไปแล้ว 12%
ใครที่ตัดสินใจลงทุนตามที่ผมแนะนำเมื่อปีที่แล้ว พอร์ตของคุณคงกำไรอู้ฟู่แล้วใช่ไหมครับ เพราะปี 2567 ที่ผ่านมา หุ้นจีนก็ปรับตัวขึ้นเป็นปีแรกราว 30% หลังจากที่ไหลลงมาตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปี 2566 ที่ติดลบ 14% ไหลลงสู่ระดับ Bottom ของตลาด สวนทิศทางกับตลาดหุ้นโลกบวกกัน 20% ในปีดังกล่าว
ขณะที่เวลานี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่า การสนับสนุนของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง
ยิ่งล่าสุดมีข่าวความเคลื่อนไหวเชิงบวกของบริษัทบิ๊กเทคจีนหลายๆ แห่งออกมา โดยหุ้น “Tencent” บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2564 เนื่องจาก “DeepSeek R1” เริ่มให้บริการบน WeChat ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของบริษัท Tencent Holdings
ทั้งนี้ Tencent ระบุในแถลงการณ์ว่า บริษัทกำลังผนวกโมเดล AI ของ DeepSeek เข้ากับระบบค้นหาของ WeChat ส่งผลให้ Tencent เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่นำ DeepSeek มาใช้งาน เช่นเดียวกับหน่วยงานภาครัฐและผู้ให้บริการรายอื่นๆ ของจีน
แม้แต่ Baidu คู่แข่งของ Tencent ก็ประกาศจะนำ DeepSeek มาใช้กับผลิตภัณฑ์สืบค้นเช่นกัน
ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน อย่างบริษัท BYD ได้ประกาศความร่วมมือกับ DeepSeek เพื่อพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ โดยรถยนต์รุ่นใหม่เกือบทั้งหมด จะติดตั้งระบบ DeepSeek Drive ซึ่งเป็นระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะที่พัฒนาจากเทคโนโลยี AI ขั้นสูง ทำให้ราคาหุ้น BYD พุ่งแรงเช่นกัน
หุ้น Alibaba วิ่งขึ้นร้อนแรงโหนกระแสไปด้วย เมื่อประธานบริษัทได้ประกาศยืนยันความร่วมมือกับ Apple ในการผสานเทคโนโลยี AI ของ Alibaba เพื่อพัฒนา iPhone รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน การประกาศดังกล่าวช่วยหนุนความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัท Alibaba
ต้นปีนี้ กระแสหุ้นยักษ์ในกลุ่มเทคฯ จีนหลายๆ ตัวคึกคักตามๆ กันไป ตอกย้ำความแข็งแกร่งของจีนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก และยังเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น
นักลงทุนทั่วโลกได้หันกลับมาให้ความสนใจกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในจีน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ต่างประเมินศักยภาพการเติบโตของเทคฯ จีนต่ำเกินไป
หากมองในแง่ Valuation ของหุ้นจีน ยังอยู่ระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นทั่วโลก และแนวโน้มการเติบโตของกำไร (EPS Growth) คาดมีโอกาสจะทำนิวไฮได้ในระยะเวลา 3-5 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ในปี 2565 เป็นปีสุดท้ายที่หุ้นเทคฯ จีนร่วงหนักลงสู่ Bottom ของตลาด และปี 2567 หุ้นจีนเริ่มมีทิศทางปรับตัวขึ้นมาได้ราว 30-40% รับข่าวดีรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ช่วงปลายเดือนก.ย. 2567 ที่ผ่านมา
สำหรับรอบต้นปีนี้ หุ้นเทคโนโลยีของจีนฟื้นคืนชีพอย่างเกินคาด เพราะได้พลังหนุนสำคัญมาจากการเปิดตัวโมเดล AI ใหม่ล่าสุด "DeepSeek" ของจีน ซึ่งสามารถขึ้นครองอันดับ 1 ในยอดดาวน์โหลดของสหรัฐฯ แซงหน้าคู่แข่งสำคัญอย่าง ChatGPT เรียบร้อยครับ
ส่วนตัวของผม จึงยังมองภาพเชิงบวกต่อการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจีนในระยะยาว สำหรับตอนนี้ถือเป็นโอกาสการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจีนทันอยู่ ส่วนราคาแพงเกินไปไหม เนื่องจากผมเชื่อมั่นว่า การพัฒนาเทคโนโลยีไม่มีวันสิ้นสุด ทำให้หุ้นกลุ่มนี้มี potential ในการเติบโตสูง และมีโอกาสที่จะเห็นผลดำเนินงานทำนิวไฮอยู่เรื่อยๆ ภายใต้เป้าหมายของรัฐบาลจีนที่ประกาศแผนพัฒนาประเทศ “นำจีนก้าวเข้าสู่จีนยุคใหม่ ที่จะเติบโตด้วยเทคโนโลยี”
จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้โลกจะนึกถึง “จีน” ขึ้นมายืนหนึ่งในประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีโลก แล้วครับ เมื่อมองย้อนกลับไป 5-6 ปีก่อนที่จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ อย่างก้าวกระโดดในช่วงที่มีการระบาดของโควิด 19 เพื่อตอบสนองต่อวิถีชีวิตแบบ New Normal ทำให้พึ่งพาเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันมากขึ้นทั้งในด้านการทำงาน ที่เน้นเทคโนโลยีติดต่อ และการทำงานทางไกล การบริการ ที่เน้นการจัดส่งหรือการซื้อขายออนไลน์แบบไร้สัมผัส และการเงินที่พัฒนาระบบสังคมไร้เงินสดอย่างจริงจัง หรือด้านสุขภาพ ที่มีการใช้เทคโนโลยีร่วมกับการวินิจฉัยและรักษาโรค ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
ปัจจุบันนี้ จีนก็ยังมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ที่มีส่วนเกี่ยวพันกับเมกะเทรนด์สำคัญ ไม่ว่าจะรถยนต์ EV, AI และ Microchip ที่มีประสิทธิภาพสูง จึงทำให้กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีของจีน เป็นที่จับตามองมาโดยตลอด กลุ่มบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีของจีน ที่ได้รับอานิสงส์จากเมกะเทรนด์ของยุคนี้ ที่เกิดการเติบโตอย่างโดดเด่น จนสามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญต่อตลาดโลกได้ในที่สุด
รัฐบาลจีนและภาคเอกชน ร่วมมือกัน “สร้างเศรษฐกิจดิจิทัล” ขึ้นมาและเป็นอีกเสาเศรษฐกิจหลักของจีนที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ GDP ประเทศในระยะยาว ซึ่งช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จีนเผชิญวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ GDP ยังเติบโตได้เหนือระดับ 5% ได้ต่อปีเพราะมีเสาเศรษฐกิจดิจิทัลนี่ล่ะครับ
เรามาดูความเคลื่อนไหวของฝั่งสหรัฐฯ กันครับ ล่าสุด “หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ” ยังแรงดีไม่มีตกบวกขึ้นมาราว 3.8% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งความร้อนแรงส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังเติบโตแข็งแกร่งและสามารถล้างภาพความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยออกไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับหุ้นที่ยังให้ผลตอบแทนดีที่สุดในสหรัฐฯ ยังอยู่ในกลุ่ม 7 นางฟ้า หรือ Magnificent 7 ซึ่งนำโดย หุ้น NVIDIA ให้ผลตอบแทน +7.4% หุ้น Apple +5% และ Meta +2.7%
ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทสหรัฐฯ ในกลุ่มดัชนี S&P 500 อีกกว่า 20% ทะยอยประกาศออกมาในช่วงนี้ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่กดดันตลาดในระยะสั้น
เสียงสะท้อนจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์กันว่า กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ปีนี้จะเป็นปีแห่งความผันผวนสูง และอาจจะไม่ได้ perform ดีเท่าไหร่นัก ซึ่งนอกเหนือจากราคาหุ้นที่แพงหลังจากปรับตัวต่อเนื่องแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณจะไม่เร่งปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง และคาดว่าในปีนี้ จะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเพียง 1 ครั้ง เท่านั้น จากคาดการณ์เดิม 4 ครั้ง ทั้งนี้ ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ 4.25% - 4.50% ซึ่งตลาดมองว่า อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับที่ค่อนข้างสูง ไม่เป็นผลบวกต่อตลาดหุ้น
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของนักลงทุนใหญ่ของโลก “ปู่ Warren Buffett” ขายหุ้นเทคฯ ออกมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วล่ะครับ
โดยมีข้อมูลรายงานการขายหุ้นกองทุนดัชนี S&P500 ออกไปจนเกือบหมดพอร์ตแล้วในไตรมาสที่ 4 ปีที่ผ่านมา และยังมีการเทขายหุ้น Bank of America ออกอย่างต่อเนื่องด้วย แต่มีกระแสออกมาว่า ได้หยุดขายหุ้น Apple แล้ว! หลังจากที่ได้มีการขายหุ้น Apple ออกมามากกว่า 60% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ครับ ตลาดตีความว่า ปู่มองมูลค่าหุ้นในตลาดสูงเกินไป แต่ขณะเดียวกันปู่ก็มีการย้ายเข้าลงทุนหุ้นอื่นแทน อาทิ หุ้น Domino’s Pizza และ Pool Corp เป็นต้น
ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวว่า Mark Zuckerberg ก็ได้เทขายหุ้น Facebook/Meta เพิ่มอีก แม้ราคาหุ้นจะปิดบวกต่อเนื่อง 18 วันติดต่อกัน จนทำสถิติปิดบวกได้ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของหุ้นกลุ่ม "7 นางฟ้า" ไปแล้ว
ผมต้องยอมรับเลยว่า ตั้งแต่ต้นปีมานี้ ตลาดการลงทุนปั่นป่วนจริงๆ ครับ ทั้งจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จุดพลุทั้งเรื่องสงครามภาษีสินค้านำเข้า และกดดันนโยบายการเงิน ความขัดแย้งระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณกดดันให้ Fed ลดดอกเบี้ย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ จะมีผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินสหรัฐฯ ในปีนี้ครับ
แต่ส่วนตัวของผมเชื่อมั่นว่า แนวโน้มในปีนี้ เทรนด์ AI ยังเป็นกระแสหลักของโลกเทคโนโลยี และจะเห็นบริษัทที่เกี่ยวข้องถูกจับจ้องขอซื้อกิจการ อย่างเร็วๆ นี้ก็มีบริษัท Open AI ซึ่งเป็นผู้พัฒนา ChatGPT กำลังถูกเจรจาขอซื้อกิจการ มีผู้สนใจทั้ง SoftBank, ยักษ์ใหญ่ Microsoft แม้แต่บิ๊ก Tesla “อีลอน มัสก์” ก็แสดงความสนใจซื้อกิจการด้วย ปีนี้จะเป็นปีที่เห็นจุดเปลี่ยนของบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่อาจเห็นการควบรวมกิจการเกิดขึ้นได้ครับ
นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวของ Apple และ Google ที่จะนำแอป TikTok กลับเข้า App Store และ Play Store อีกครั้ง ปีนี้น่าจะเป็นอีกปีที่ฝุ่นตลบในแวดวงเทคโนโลยีครับ
ผมเชื่อว่า เส้นทางการพัฒนาโลกเทคโนโลยี ยังไปอีกไกลแน่นอน เมื่อต้นปีนี้ สหรัฐฯ ได้ริเริ่มโครงการ Stargate โดยมีเป้าหมายจะลงทุนเม็ดเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโครงการพื้นฐานด้าน AI ของสหรัฐฯ ตอนนี้ผมยังเชื่อลึกๆว่า สหรัฐฯ ยังชนะจีนได้อยู่ แต่หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในระยะ 3-6 เดือนจนถึงปี อาจจะยังไม่ perform ดีนักเพราะปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้ว เว้นแต่คุณจะถือลงทุนระยะยาว ขณะที่มีข้อมูลการคาดการณ์ว่า ตลาด Generative AI จะมีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ยิ่งตอกย้ำว่า เทรนด์ digitalization ยังอยู่คู่กับโลกเราครับ
เพราะฉะนั้น มองยังไงๆ ก็เชื่อว่า อนาคตหุ้นเทคโนโลยียังเติบโตไปได้อีกไกล ในช่วงที่ราคาหุ้นเทคจะปรับตัวลงไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ หรือจีน ด้วยเหตุปัจจัยใดๆ ผมก็อยากให้ทุกคนตั้งสติและติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดและวิเคราะห์สถานการณ์คว้าโอกาสลงทุนได้หรือไม่
เมื่อเร็วๆนี้ ผมเห็น “Danny Moses” นักเทรดขาชอร์ตชื่อดังจาก "The Big Short" เตือนนักลงทุนที่คิดจะ Short Sell ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ว่า "อย่าเดิมพันแทงสวนกับกระแส AI แม้ราคาหุ้นจะสูงเกินจริงก็ตาม"
นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley, JP Morgan และ UBS บอกเป็นเสียงเดียวกัน ว่า DeepSeek และการพัฒนา AI ของจีน กำลังจะทำให้ตลาดหุ้นจีนกลับเป็นตัวเป็นขาขึ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่า ทุกคนก็มองเห็นอนาคตหุ้นเทคโนโลยีไปต่อได้อีกยาวๆ อย่างน้อย 10 ปีใช่มั้ยครับ คุณคงรักพี่เสียดายน้อง จะลงทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ดีหรือจะลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจีนดีกว่ากัน ผมแนะนำง่ายๆ ครับ หุ้นเทคโนโลยี จะเป็นหุ้น Growth Stock ซึ่งมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงแต่ก็มาคู่กับความเสี่ยงสูง
หุ้น Growth Stock เป็นหุ้นที่จัดอยู่ในพอร์ตรอง หรือ Satellite อยู่แล้ว หากในพอร์ตของคุณยังไม่มีหุ้นเทคโนโลยี ผมยังแนะนำให้ลงทุนได้ครับ และควรลงทุนกระจายทั้งสองประเทศ นั่นเพราะในระยะยาว จีนจะมีโอกาสขึ้นมาใหญ่แซงหน้าสหรัฐฯ ได้จริงๆ ทั้ง 2 ประเทศนี้ และแม้ว่า หากจีนยังไม่สามารถแซงสหรัฐฯ ได้จริง ผมมองว่า ทั้งสองประเทศก็ยืนอยู่ในตำแหน่งพี่ใหญ่ของโลกอยู่แล้ว เท่ากับว่าผลการดำเนินงานของหุ้นเทคฯ จาก 2 ยักษ์ใหญ่ของโลกย่อมมีโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่องยาวๆ ครับ ส่วนจะให้น้ำหนักแต่ละประเทศอย่างไร คุณสามารถขอคำแนะนำกับที่ปรึกษาการลงทุนครับ เพราะจะช่วยประเมินความเสี่ยงการลงทุนและผลตอบแทนให้คุณได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับพอร์ตหลัก หรือ Core Port ก็ยังเป็นพอร์ตที่เน้นสร้างรายได้หรือผลตอบแทนสม่ำเสมอและมีความเสี่ยงต่ำนะครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนพันธบัตร หุ้นกู้ หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว ทองคำ ซึ่งคุณควรให้น้ำหนักในพอร์ตหลักสูงเกิน 50%ขึ้นไปครับ เพราะหากพอร์ตรองเสียหายจากขาดทุน คุณก็ยังมีเงินต้นที่เหลือจากพอร์ตหลักที่สร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้กับคุณครับ
สุดท้าย ผมฝากกลยุทธ์หลักของการลงทุนที่ดีท่ามกลางโลกลงทุนที่มีความผันผวนสูง คือ “อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว” นะครับ เพราะถ้าคุณใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน หากตะกร้านั้นเป็นอะไรไป ไข่ก็จะเสียหายทั้งหมด เทียบเท่ากับการสูญเสียเงินออมหรือรายได้ทั้งหมดของคุณ ผมหวังว่า พอร์ตของคุณจะรอดปลอดภัยจากความผันผวนของตลาด และมีพลังเติบโตในระยะยาวครับ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด