‘น้ำหอม’ เป็นหนึ่งไอเทมสำคัญที่หลายคนขาดไม่ได้ โดยเฉพาะ ‘น้ำหอมจากแบรนด์ Hi-End’ ที่แฝงไปด้วยเรื่องราวของแต่ละแบรนด์ และ Fragance Note อันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำหอมแต่ละตัว ช่วยสื่อความเป็นตัวตน และอารมณ์ของผู้ใช้ ซึ่งมีความสำคัญไม่ต่างจากเครื่องแต่งกาย หรือเครื่องประดับชิ้นอื่นๆ
แต่วัตถุดิบสำคัญที่ถูกนำมาใช้ทำน้ำหอมอย่าง ‘ดอกไม้’ กำลังเผชิญกับวิกฤตด้านผลผลิต เนื่องจากสภาพอากาาศแปรปรวน จากปัญหา ‘โลกร้อน’ ที่ทำให้ผู้ผลิตน้ำหอมแบรนด์ดัง ต้องกุมขมับ
Spotlight รวบรวมน้ำหอมแบรนด์ดังที่ใช้ดอกไม้ 6 ชนิดนี้เป็นวัตถุดิบ ที่แฟนพันธุ์แท้น้ำหอมต้องช่วยกันจัดการปัญหาโลกร้อน ถ้ายังไม่อยากให้น้ำหอมที่คุณหลงใหลเหล่านี้ หายไปจากเชลฟ์!
1. Jasmine (มะลิ) - คนไทยเราคุ้นเคยกับ ‘มะลิ’ ในฐานะของไม้ดอกหอม ที่อยู่คู่บ้านคู่เรือน และเป็นส่วนสำคัญในพวงมาลัยดอกมะลิหอมสดชื่น แต่ในระดับโลกแล้ว มะลิก็เป็นดอกไม้ที่นิยมนำมาปรุงน้ำหอม ให้กลิ่นแนว Floral (หอมหวานแบบดอกไม้ ทรงเสน่ห์) โดยนิยมนำมาเป็น Middle Note ของน้ำหอม ชื่อดังหลายตัว อาทิ ‘Bleu de Chanel’ น้ำหอมผู้ชายสุดฮิตจาก Chanel, ‘Libre’ น้ำหอมกลิ่นฟลอรัลที่เท่ และเซ็กซี่ จาก YSL, ‘J’adore’ น้ำหอมสำหรับผู้หญิงสายหวาน น่าหลงใหล จาก Dior
2. Rose (กุหลาบ) - ตัวแทนของความรักในหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ให้กลิ่นหอมสดชื่น มีกลิ่นเปรี้ยวแบบเลมอนอ่อนๆ มีหลากหลายสายพันธุ์ จะให้กลิ่นที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป เป็นอีกหนึ่งกลิ่นในตระกูล Floral ที่ได้รับความนิยม และถูกนำไปเป็น Middle Note ของน้ำหอมจากหลากหลายแบรนด์ ทั้งสำหรับผู้หญิง และผู้ชาย เช่น ‘Chloé Eau de Parfum’ น้ำหอมสำหรับหญิงสาวผู้สง่างาม ที่มีกลิ่น Floral โดดเด่นจาก Chloé, ‘Acqua di Gio’ น้ำหอมคุณผู้ชายที่มีกลิ่นอายของทะเลอันเป็นเอกลักษณ์ จาก Giorgio Armani, ‘English Pear & Freesia’ กลิ่นหอมอันนุ่มนวล ที่มีลูกแพร์ และช่อดอกฟรีเซียเป็นพระเอกหลัก จาก Jo Malone
3. Tuberose (ซ่อนกลิ่น) - ดอกไม้ที่ซ่อนกลิ่นหอมรัญจวนใจ และซ่อนไว้ซึ่งเรื่องราวมากมาย ดังเช่น ในประเทศอินเดียที่มีเรื่องเล่าว่า ในไร่ดอกซ่อนกลิ่นของอินเดีย จะใช้เฉพาะผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเก็บผลผลิต เพื่อป้องกันเรื่องไม่ดีในด้านชู้สาวในบรรดาคนงานหนุ่มสาว ซ่อนกลิ่นถูกใช้เป็น Middle Note ในน้ำหอมดังหลายตัว เช่น ‘L'Interdit Eau de Parfum’ กลิ่นหอมที่นำพาความตื่นเต้น ปลุกความตื่นเต้นเร้าใจ จาก Givenchy, ‘1 Million Parfum’ น้ำหอมสุภาพบุรุษสุดแสนเร้าใจ ชวนเสพติดเหมือนทองคำจาก Paco Rabanne, ‘Bloom’ กลิ่นหมู่มวลดอกไม้ขาว เผยเสน่ห์อย่างงดงาม ในแบบผู้หญิง จาก Gucci
4. Vanilla (วานิลลา) - กลิ่นหอมหวานละมุนจากฝักของกล้วยไม้สกุล Vanilla ที่พบได้ทั้งขนม เครื่องดื่ม และน้ำหอม กลิ่นของวานิลลาให้ความรู้สึกหอมหวาน อ่อนโยน และผ่อนคลาย จึงมักถูกนำมาเป็น Middle Note หรือ Base Note ในน้ำหอมของทั้งสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรี เช่น ‘Tobacco Vanille’ น้ำหอมอันอบอุ่น น่าหลงใหล แต่แฝงด้วยความหรูหรา ทันสมัย จากแบรนด์ Tom Ford, ‘Ultra Male’ น้ำหอมที่บ่งบอกถึงความเป็นชายชาตรี แต่ก็มีมุมที่หวานละมุน จาก Jean Paul Gaultier, ‘Eros’ น้ำหอมที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพ ‘อีรอส หรือ คิวปิด’ เทพแห่งความรัก จาก Versace
5. Lavender (ลาเวนเดอร์) - ชื่อของ Lavender มีที่มาจากภาษาละตินว่า ‘Lavare’ ซึ่งแปลว่า ซัก จากการที่ผู้คนสมัยก่อน ใช้ดอกลาเวนเดอร์ในการทำความสะอาดผ้า เพื่อให้ความหอมสดชื่นคงอยู่บนเส้นใยของผ้า กลิ่นของลาเวนเดอร์ ยังมีความผูกพันกับความรัก ความผ่อนคลาย และความเงียบสงบอีกด้วย จึงถูกนำใช้เป็นกลิ่นหอมของน้ำหอม เช่น ‘Sauvage’ น้ำหอมที่สื่อสารความคูลแบบหรูหราของผู้ชาย ท่ามกลาง ท้องฟ้า และโอโซนธรรมชาติจาก Dior, ‘Cool Water’ น้ำหอมที่บรรจุกลิ่นสัมผัสของหาดทรายริมทะเลเมดิเตอเรเนียน สดชื่น และมีชีวิตชีวาจาก Davidoff, ‘Mon Guerlain’ น้ำหอมที่ผู้สร้างสรรค์น้ำหอมรังสรรค์มาเพื่อผู้หญิงอย่างแท้จริง จาก Guerlain
6. Saffron (หญ้าฝรั่น) - เครื่องเทศที่มีราคาแพงที่สุดในโลกที่ได้รับฉายา ‘ทองคำสีแดง’ เพราะการจะได้เกสรของดอกหญ้าฝรั่น 1 กิโลกรัมนั้น ต้องใช้ดอกของมันถึง 300,000 ดอก เพราะแต่ละดอก จะมีเกสรเพียง 3 เส้นเท่านั้น กลิ่นหวาน-ขม ให้กลิ่นสัมผัสของหนังสัตว์และดิน ของหญ้าฝรั่นนั้นถูกนำมาใช้ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ถูกนำมาใช้น้ำหอมแบรนด์ดัง เช่น ‘Eau Duelle EDT’ น้ำหอม Unisex ที่ช่วยเผยสน่ห์อันเปล่งประกายและน่าค้นหาของผู้ใช้ จากแบรนด์ Diptyque, ‘Aventus’ น้ำหอมราคาระดับบนสำหรับสุภาพบุรุษสมัยใหม่แต่เปี่ยมไปด้วยความเย้ายวน จาก Creed, ‘L'Eau d'Issey Pour Homme’ กลิ่นหอมอมตะสำหรับผู้ชาย ที่ทั้งสดชื่นแข็งแกร่ง และล้ำค่าในเวลาเดียวกันจากแบรนด์ Issey Miyake
เช่นเดียวกับพืชผักที่เราบริโภคอยู่ทุกวัน ‘ดอกไม้’ ก็อ่อนไหวต่อสภาพอากาศ และอุณหภูมิเช่นกัน ก่อนหน้านี้ประเทศไทยเองประสบปัญหาพืชผัก และดอกไม้ราคาแพงจากสภาพอากาศที่แปรปรวน เช่น ปริมาณน้ำฝนที่มาก หรือน้อยเกินไป อุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ ส่งผลให้พืช ‘ตกใจ’ และออกผลผลิตได้น้อยลง ส่งผลให้เราต้องซื้อผัก และดอกไม้ราคาแพงกันอยู่พักใหญ่
นั่นคือผักราคากิโลกรัมละหลักสิบ หลักร้อย แต่นี่คือดอกไม้ที่มีราคากิโลกรัมละหลักพัน ไปจนถึงแสนบาท
แน่นอนว่ามูลค่าความเสียหายต่อพื้นที่ จะต้องทวีคูณขึ้นไปอย่างแน่นอน
‘Grasse’ คือ เมืองหลวงแห่งน้ำหอมของโลก ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีวัฒนธรรมการทำน้ำหอมระดับโลกมากว่า 300 ปี เป็นเมืองที่ทรงคุณค่า และมูลค่าในอุตสาหกรรมน้ำหอมเป็นอย่างมาก ดอกมะลิที่นี่มีราคาสูงกว่าทองเสียด้วยซ้ำ ลูกค้าที่มาซื้อดอกไม้จากเมือง Grasse คือแบรนด์ดังระดับโลก อย่าง Dior และ Chanel
ก่อนหน้านี้ ปัญหาวัตถุดิบราคาสูงเกิดขึ้นในวงการน้ำหอมมาพักใหญ่แล้ว แต่ในฤดูร้อนที่ผ่านมา Grasse ประสบปัญหาผลผลิตตกต่ำจากภัยแล้ง คลื่นความร้อน และปริมาณน้ำฝนที่มากเกินไป ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการปลูกมะลิ, กุหลาบและซ่อนกลิ่นของที่นี่ โดยหนึ่งในผู้ผลิตดอกไม้รายใหญ่ของที่นี่เผยว่า ผลผลิตของซ่อนกลิ่นมีปริมาณลดลงถึง 40% ในปีที่ผ่านมา
ไม่ใช่แค่ Grasse แต่ฟาร์มดอกไม้ทั่วโลกเองก็กำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกันนี้ ดังที่ทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นแหล่งปลูกวานิลลาที่สำคัญของโลก ถูกคลื่นความร้อนทำให้ผลผลิตน้อยลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีความเสียหายจากภัยธรรมชาติ เช่น ไซโคลนที่พัดถล่มมาดากัสการ์ในปี 2017 ได้ทำลายผลผลิตวานิลลาไปกว่า 30% ทำให้ราคาถีบตัวสูงถึงกิโลกรัมละ ‘2 หมื่นกว่าบาท’
Benoit Verdier ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอมจากฝรั่งเศส เผยว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไม่ได้ทำให้กลิ่นของวัตถุดิบผิดเพี้ยนไป แต่กลับส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคา นอกจากนี้ วัตถุดิบสำคัญอย่างวานิลลาและหญ้าฝรั่น ยังมีราคาพุ่งสูงจากซัพพลายที่จำกัด จากปัญหาภัยแล้งและภัยพิบัติซึ่งเกิดจากโลกร้อน
ปัจจัยดังกล่าว ส่งผลกดดันราคาต้นทุนของผู้ผลิตน้ำหอมหลายราย ซึ่งแม้ปัจจุบันจะยังไม่ส่งต่อมายังผู้บริโภค แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ก็ไม่แน่ และอาจผลักให้พวกเขา เปลี่ยนไปเลือกใช้วัตถุดิบกลุ่มที่เป็นกลิ่นสังเคราะห์แทนวัตถุดิบจากธรรมชาติ หากปัญหายังคงดำเนินต่อไป
แม้ปัจจุบัน จะมีความพยายามจากผู้ผลิตน้ำหอมในการช่วยสนับสนุนด้านงานวิจัยที่ศึกษาถึงผลกระทบต่อวัตถุดิบ ที่เกิดจากภาวะโลกร้อน เพื่อแสวงหาวิธีการปรับปรุงวัตถุดิบเหล่านี้ ให้ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว อุตสาหกรรมการปลูกดอกไม้ในเมืองอย่างเช่น Grasse ไม่ใช่แค่เพียงธุรกิจเพื่อเงิน แต่คือวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของผู้คนในพื้นที่ ที่จะต้องอาศัยความเข้าใจและความละเอียดอ่อน ที่จะทำให้อุตสาหกรรมนี้ ยั่งยืนมากขึ้น
หากคุณรักแบรนด์น้ำหอมเหล่านี้ โปรดร่วมด้วยช่วยกันลดโลกร้อนด้วยสารพัดวิธีที่คุณทำได้ รวมถึงสื่อสารเรื่องนี้ออกไป เพื่อให้ทุกคนตระหนัก และร่วมรักษ์โลกไปด้วยกัน
ที่มา : The Guardian, Fragrantica, Choicechecker, Rakdok