ธุรกิจการตลาด

NVIDIA ขึ้นแท่น บริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แซงหน้า Microsoft แล้ว

18 มิ.ย. 67
NVIDIA ขึ้นแท่น บริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แซงหน้า Microsoft แล้ว

'NVIDIA' บริษัทผลิตชิป AI สัญชาติอเมริกันยักษ์ใหญ่ ที่ล่าสุด (19 มิ.ย. 2567) ก้าวขึ้นสู่บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก 3.335 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 122.50 ล้านล้านบาท ทุบสถิติแซงหน้าบิ๊กเทคฯ อย่าง Microsoft และ Apple ที่มีมูลค่าตลาดที่ 3.317 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 3.285 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ

โดยผลประกอบการไตรมาสล่าสุด NVIDIA ยังทำรายได้เกือบ 9.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 262% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และยังทำกำไรเกือบ 5.5 แสนล้านบาท พุ่งขึ้นทะลุ 628% เลยทีเดียว

ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้บริษัทผลิตชิป AI แห่งนี้ สามารถสร้างมูลค่าแซงหน้า Microsoft และ Apple ได้ในที่สุด SPOTLIGHT ได้สรุปเหตุการณ์ไว้ในบทความนี้แล้ว 

การผลิต GPU เป็นชิป AI ที่เปลี่ยนชีวิต NVIDIA

NVIDIA ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1993 ในฐานะบริษัทที่ออกแบบชิปคอมพิวเตอร์ชนิดพิเศษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ Intel และ AMD ครองส่วนแบ่งหลักของตลาดชิปในสหรัฐอเมริกามานานกว่าหลายทศวรรษแล้ว เนื่องจากทั้งสองบริษัทเชี่ยวชาญในการผลิต CPU หรือหน่วยประมวลผลกลาง ที่เป็นเหมือนรากฐานสำหรับการประมวลผลขั้นพื้นฐาน และกระบวนการของซอฟต์แวร์

แต่ NVIDIA กลับเชี่ยวชาญในการผลิต GPU หรือหน่วยประมวลผลกราฟิก ที่ถูกออกแบบมาสำหรับใช้ในวิดีโอเกมตอนแรก โดยประมวลผลแบบขนาน หรือ 'parallel computing' ที่แบ่งการทำงานออกเป็นส่วนเล็กๆ แล้วแจกจ่ายให้แต่ละหน่วยประมวลผลทำงานพร้อมกัน เพื่อกระจายไปยังคอร์หลายตัวในชิป เปรียบเสมือนสมองของโปรเซสเวอร์ ทำให้ได้ผลลัพธ์การทำงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพในกรณีที่มีการประมวลขนาดใหญ่

ความทรงพลังของ GPU สามารถรองรับความต้องการด้านการประมวลผลที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น เรนเดอร์ภาพได้ดีและเร็วกว่า ทำการคำนวณไปพร้อมๆ กัน และมีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่าด้วย ซึ่งลักษณะหลักๆ ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ CPU ทั่วไปไม่สามารถทำได้ จึงเป็นข้อได้เปรียบและทำให้ GPU ของ NVIDIA เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมวิดีโอเกมเรื่อยมา

ถึงแม้ผู้ผลิตชิปรายอื่นๆ หันมาผลิต GPU กันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีใครเอาชนะ NVIDIA ได้ เนื่องจาก NVIDIA มีข้อได้เปรียบในฐานะผู้เล่นรายแรกในอุตสาหกรรมนี้ ที่ยังสามารถรวมชิปเข้ากับชุดซอฟต์แวร์ที่โปรแกรมเมอร์ต้องการ รวมถึงซัพพลายเชนที่ยังช่วยให้สามารถผลิต GPU ในปริมาณที่มากขึ้น เร็วขึ้น และเชื่อถือได้มากกว่าคู่แข่ง

อย่างไรก็ตาม ความโดดเด่นของ GPU NVIDIA ก็ยังไม่สามารถเอาชนะคู่แข่างอย่าง Intel ได้ เนื่องจากในเวลานั้น มูลค่าตลาดของ Intel สูง NVIDIA อยู่ไม่น้อย โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2020 มูลค่าตลาด Intel อยู่ที่ระดับ 280,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วน NVIDIA เพียง 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

'โควิด-19' และ 'AI' ปัจจัยเร่งการเติบโตของ NVIDIA

ในช่วงที่โควิด-19 เริ่มระบาด ทุกคนต้องหันมาทำงานทางระยะไกล หรือ WFH แทน ทำให้ความต้องการของดาต้าเซ็นเตอร์ที่สามารถเปิดใช้งานการประมวลผลบนคลาวด์ได้เพิ่มขึ้น รวมถึงหลายคนหันมาเล่นวิดีโอเกมแก้เบื่อมากขึ้น เพราะออกจากบ้านไม่ได้ตามมาตรการเว้นระยะห่าง

ในขณะเดียวกัน กลุ่ม Silicon Valley อย่างเช่น OpenAI เริ่มเห็นถึงศักยภาพของ AI ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจของบริษัททั้งหมด ซึ่งมีความต้องการพลังงานและชิปเพื่อนำไปประมวณผลและใช้ในการพัฒนา AI ของตัวเองออกมา เพื่อสู้ในสนามแข่งที่มีการเติบโตรวดเร็วมาก

ทำให้ NVIDIA ในฐานะบริษัทเทคที่มีระบบนิเวศตั้งแต่ซอฟต์แวร์ไปจนถึงการ sourcing กลายเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญสำหรับบิ๊กเทคฯ ทั้งหลายที่ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาลเพื่อรองรับความต้องการ AI ของพวกเขา และได้ส่วนแบ่งในตลาดเพิ่มขึ้นมหาศาล

Jensen Huang ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ NVIDIA เคยบอกในสัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ว่า ความเฟื่องฟูของ NVIDIA ไม่ได้มากับความสามารถอย่างเดียว แต่ยังมาพร้อมกับโอกาส จังหวะชีวิต และดวงด้วย เหมือนที่เขาพูดว่า “เขาแค่เชื่อว่าสักวันหนึ่ง สิ่งใหม่ๆ จะเกิดขึ้นจริง และส่วนที่เหลือจะต้องอาศัยความบังเอิญด้วย”

การเป็นผู้นำในตลาดที่ทุกคนผูกขาด

ปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าบิ๊กเทคฯ ของ NVIDIA คิดเป็น 15% ของรายได้ทั้งหมด จากการประมาณการโดย UBS โดยแต่ละบริษัท ใช้ผลิตภัณฑ์ของ NVIDIA จำนวนมากและหลากหลายส่วนดังนี้:

- Apple ใช้ GPU NVIDIA ใน Mac รุ่นเก่าๆ ที่มอบกราฟิกขึ้นสูง ถึงแม้ว่าจะใช้ซิลิคอนของตัวเองเป็นหลัก

- Amazon Web Services ใช้ GPU NVIDIA จำนวนมาก โดยส่วนหนึ่งนำมาปรับใช้โมเดล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- Meta ใช้ GPU เพื่อวิจัยและพัฒนา AI และเทคโนโลยีของ NVIDIA ในการพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการคำนวณสำหรับแอปพลิเคชัน VR และ AR

-Microsoft ที่มีความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับ NVIDIA โดยเฉพาะบริการคลาวด์ Azure ที่ขับเคลื่อนโดย GPU ของ NVIDIA และ ชิป A100 GPU ของ Nvidia ใช้ในการฝึกโมเดลสำหรับ ChatGPT ในการฝึกอบรม Large Language Model

ไม่เพียงแต่ GPU เท่านั้น NVIDIA ยังมีบทบาทใน metaverse, VR, และ AR เพราะเมื่อ metaverse พัฒนาขึ้น ความต้องการชิป NVIDIA เพื่อรัน metaverse ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ส่วนในโลกของคริปโทเคอเรนซี่ NVIDIA ก็มีส่วนสำคัญในวงการนี้เช่นกัน โดยนักขุดใช้การ์ดเพื่อขุดโทเค็น ซึ่งต้องใช้พลังงานมหาศาล ทำให้มีความต้องการการ์ดของ NVIDIA เยอะขนาดที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะสกุลเงินดิจิตอลเริ่มได้รับความนิยม

ส่วนความต้องการของ Generative AI ก็กระตุ้นให้เกิดยอดขายของชิป AI อย่างมหาศาล โดย Bloomberg Intelligence คาดว่า อุตสาหกรรม AI จะเติบโตที่ 42% ต่อปีในอีก 10 ปีข้างหน้า และมูลค่าตลาด Generative AI อาจแตะ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 47.69 ล้านล้านบาทภายในปี 2032 เพราะบิ๊กเทคฯ ยักษ์ใหญ่ต่างส่งสัญญาณว่า พวกเขาจะต้องใช้จ่ายกับชิปและดาต้าเซ็นเตอร์มากขึ้น เพื่อฝึกอบรมและใช้งานระบบ AI ของตน

โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า NVIDIA ที่ควบคุมตลาดชิป AI เฉพาะทางมากกว่า 95% จะยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคตอันใกล้ เห็นได้จากไตรมาสล่าสุด ที่รายได้จากธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งรวมถึงยอดขาย GPU เพิ่มขึ้น 427% YoY เป็น 2.26 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 8.291 แสนล้านบาท หรือประมาณ 86% ของยอดขายโดยรวมของบริษัท

ในวันที่ NVIDIA เอาชนะ Microsoft ได้แล้ว

ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา หุ้นของ NVIDIA เพิ่มขึ้นมากกว่า 215% และพุ่งทะลุมากกว่า 3,400% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ส่วนตั้งแต่ต้นปีนี้ หุ้นของ NVIDIA เพิ่มขึ้น 175% ในขณะที่หุ้นของ Microsoft เพิ่มขึ้นไม่ถึง 19% เท่านั้น

ความเฟื่องฟูของ NVIDIA เริ่มเห็นชัดนับตั้งแต่มูลค่าตลาดของบริษัทแตะที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2023 และต่อมาทำสถิติแตะ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 1 มีนาคม 2024 หรือใช้เวลา 262 วันจาก 1 ล้านล้านสู่ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

และเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2024 เป็นครั้งแรกที่ NVIDIA มีมูลค่าตลาดที่ระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นบริษัทที่สามของโลกที่สามารถทำสถิตินี้ได้ และยังทำสถิติเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วย โดยใช้เวลาเพียง 96 วันก้าวจาก 2 ล้านล้านสู่ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ Apple และ Microsoft ใช้เวลามากถึง 1,044 และ 945 วัน ตามรายงานของ Bespoke Investment Group

ซึ่งการเพิ่มขึ้นของมูลค่าตลาดที่รวดเร็วขนาดนี้ NVIDIA ยังกระทบถึง S&P 500 ที่กลายเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักสูงสุด และมีบทบาทสำคัญในดัชนีมาตรฐานซึ่งทำสถิติสูงสุดในปี 2024 เช่น เมื่อราคาหุ้นของ NVIDIA เพิ่มขึ้น ดัชนี S&P 500 ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

การเติบโตของ NVIDIA ทำให้แม้แต่ Wall Street ยังต้องออกมเปิดเผยว่า NVIDIA เป็นกลไกที่อยู่เบื้องหลังการระเบิดของ AI ที่ไม่มีสัญญาณของการชะลอตัว โดยการเติบโตดังกล่าว ทำให้ทรัพย์สินสุทธิของ Jensen Huang มีมูลค่าประมาณ 1.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 11 ของโลก ตามข้อมูลของ Forbes

ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้ NVIDIA แซงหน้า Microsoft ได้ เป็นเพราะ Micrsoft ได้รับผลประโยชน์ที่สำคัญจากการเติบโตของ AI อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เข้าถือหุ้นใหญ่ใน OpenAI และรวมโมเดล AI ของสตาร์ทอัพเข้ากับผลิตภัณฑ์ที่สำคัญที่สุด รวมถึง Office และ Windows Microsoft ที่ใช้ GPU ของ NVIDIA สำหรับบริการ Azure cloud และเพิ่งเปิดตัวแล็ปท็อปเจเนอเรชั่นใหม่ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้งานโมเดล AI ที่เรียกว่า Copilot+ ด้วย

ความกังวลของนักวิเคราะห์

อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่รวดเร็วขนาดนี้ ก็มีนักวิเคราะห์ออกมาพูดถึงอีกด้านหนึ่ง เพื่อเป็นข้อควรระวังสำหรับ NVIDIA เอง และผู้เล่นในอุตสาหกรรมนี้ด้วย จากความสนใจของนักลงทุนใน NVIDIA ที่เพิ่มขึ้นตาม โดยเฉพาะหลังจากการประกาศแตกหุ้นพาร์ 10 ต่อ 1 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2024 ทำให้นักวิเคราะห์ยิ่งมองว่า ความสำเร็จของบริษัทอาจเกิดสภาวะฟองสบู่แตกหรือไม่ เหมือนกับที่บริษัทเทคทั้งหลายเคยเป็นมาแล้ว

นักวิเคราะห์บางคน เชื่อว่า การแข่งขันที่รุนแรงเพื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่จะถึงจุดสูงสุดในที่สุด ซึ่งอาจกระทบ NVIDIA มหาศาล เหมือนกับที่ Lucas Keh นักวิเคราะห์ของ Third Bridge เขียนไว้ในวิจัยว่า "ปริมาณงาน AI ในระบบคลาวด์จะเปลี่ยนจากการฝึกอบรมไปสู่การใช้งาน หรืองานประจำวันที่ประมวลผลข้อมูลใหม่โดยใช้ระบบ AI ที่ได้รับการฝึกอบรมแล้ว ซึ่งการใช้งานไม่จำเป็นต้องใช้ระดับพลังงานที่ได้รับจากชิประดับท็อปราคาแพงของ NVIDIA ทำให้ผู้ผลิตชิปรายอื่น เสนอทางเลือกอื่นที่ทรงพลังน้อยกว่าและยังมีราคาถูกกว่าด้วย

เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ตำแหน่งส่วนแบ่งการตลาดที่โดดเด่นของ NVIDIA จะถูกทดสอบ และตอนนี้เอง NVIDIA ก็เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจาก Intel และ AMD ที่ลงทุนในเทคโนโลยี GPU และ AI อย่างมาก ซึ่งอาจค่อยๆ ย่างส่วนแบ่งการตลาดของ NVIDIA ทั้งในกลุ่มผู้บริโภคและดาต้าเซ็นเตอร์”

ตอนนี้ AMD และ Intel กำลังผลักดันชิป AI ของตัวเองโดยมีเป้าหมายที่จะเอาชนะ NVIDIA ให้ได้ อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ AMD ประกาศเปิดตัว GPU MI325X และ MI350 ที่จะออกสู่ตลาดในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ และ MI400 ตัวเร่ง AI รุ่นต่อไปจะเปิดตัวในปี 2026 ในขณะเดียวกัน Intel กล่าวว่า ตัวเร่ง AI Gaudi 2 และ Gaudi 3 จะตัดราคาชิปคู่แข่ง และด้วยการที่บริษัทต่างๆ ใช้จ่ายชิป AI นับพันล้าน การลดราคาก็ถือเป็นเรื่องที่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ NVIDIA ยังต้องเจอกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าของตัวเอง เช่น Amazon, Google, และ Microsoft พยายามที่จะเลิกพึ่งพาชิปของบริษัท หันมาพัฒนาชิป AI ของตัวเองเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายฝ่าย ในขณะที่พวกเขากำลังดำเนินการอยู่

ไม่เพียงเท่านี้ NVIDIA อยู่ภายใต้ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ ที่เห็นภาพที่สุดในตอนนี้ก็คือ สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่มีการห้ามขายชิปขั้นสูงไปยังบางภูมิภาค ซึ่งอาจกระทบการเข้าถึงตลาดของ NVIDIA และรายได้จากประเทศเหล่านี้ ในขณะเดียวกัน ประเทศจีนก็มีการพัฒนา GPU เหมือนกัน และหลายครั้งจีนมักพัฒนานวัตกรรมที่มีราคาถูกมาก ที่มักตามมาด้วยสงครามด้านราคา

สำหรับราคาหุ้นของ NVIDIA ปิดตลาดที่ 135.58 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3.51% ทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 3.335 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มา NBC, CNBC 1, CNBC 2AP News, Economist, Tech Target, Business Insider, NVIDIA, Oracle, Quartz, Yahoo Finance

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT