"ปิ่น เลอลักษณ์" แจงดรามา "ต้อม รัชนีกร" ยันไม่เคยทำคนไข้ตาย 2 ศพ

5 ก.ค. 67

"ปิ่น เลอลักษณ์" แจงดรามา "ต้อม รัชนีกร"ฟ้อง 50 ล้าน ยันไม่เคยทำคนไข้ตาย 2 ศพ จ่อฟ้องกลับหากทำให้เสียหาย

วันนี้ 5 ก.ค. 67 นายมนต์ชัย จงไกรรัตนกุล หรือทนายแก้ว รองประธานคณะกรรมการเผยแพร่กฎหมายสภาทนายความ พร้อมด้วย ปิ่น - พิศพรรณ ศรีไชยยันต์ ผู้บริหารโรงพยาบาลเลอลักษณ์ ตั้งโต๊ะแถลงถึงกรณีที่ ต้อม - รัชนีกร พันธุ์มณี ได้มีการแถลงถึงการทำศัลยกรรมใบหน้าและเกิดความผิดพลาด ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต โดยจะมีการฟ้องทางโรงพยาบาลเลอลักษณ์จำนวน 50 ล้านบาท

ปิ่น ระบุว่า ทางโรงพยาบาลเลอลักษณ์เปิดมากว่า 27 ปี มีใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาลจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างถูกต้องและมีการคัดกรองแพทย์อย่างละเอียด มีการตรวจประวัติแพทย์ทุกคนตามหลักการ ก่อนจะรับเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาล ส่วนในเคสของคุณต้อม มีการแก้ไขที่เยอะมากๆ จนไม่มีแพทย์คนไหนรับเคส แต่ด้วย นพ.ภานพ เมภินัณท์ มีฝีมือระดับประเทศจึงรับทำให้ หลังจากทำศัลยกรรมเสร็จ ทางคุณต้อมก็มีการพูดคุยกับตนปกติ ชมว่าหมอทำเก่ง ภายใน 2 อาทิตย์ก็สามารถกินชาบู หมูกระทะได้ แต่หลังจากทำศัลยกรรมไปได้สักพัก ก็มีการออกมาพูดว่า หลังจากทำศัลยกรรมมาแล้วหน้าผิดรูป เคี้ยวข้าวไม่ได้ กรอบหน้าด้านข้างเกิดความผิดปกติ และยังบอกอีกว่าแพทย์ที่ทำการผ่าตัดให้ตน เคยผ่าตัดผิดพลาดทำคนตายมา 2 ศพ ซึ่งการที่คุณต้อมออกมาพูดแบบนี้ถือเป็นการดิสเครดิตทางโรงพยาบาลและแพทย์ที่ทำการผ่าตัด อยากถามว่าทำไมถึงออกมาพูดเช่นนั้น เพราะหลังศัลยกรรมเสร็จก็ยังพูดคุยปกติ และชมแพทย์ว่าเก่ง

1720181800847

ทางด้านทนายกฤตย์ สมุทรโคตา อธิบายเพิ่มเติมถึงคนไข้ 2 เคสที่เสียชีวิต ว่า ในขณะนั้นแพทย์ภานพทำงานอยู่ที่คลินิกตัวเอง เคสแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2557 ขณะนั้นคนไข้มีภาวะแพ้ยาสลบ ในขณะนั้นยังไม่ได้มีการผ่าตัด พอวิสัญญีแพทย์ให้ดมยาสลบ คนไข้มีอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงตัดสินใจนำส่งโรงพยาบาล หลังจากนั้นมีการวินิจฉัยว่าคนไข้แพ้ยาสลบ หมอชี้แจงว่าเป็นจากกรรมพันธุ์ ถือเป็นเหตุสุดวิสัย ทางญาติไม่ติดใจเอาความ

ต่อมาในปี 2559 ในการผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว ระหว่างพักรักษาตัวชีพจรคนไข้ไม่คงที่ ก็เลยนำตัวส่งโรงพยาบาล หมอชันสูตรสาเหตุระบุว่า สาเหตุการเสียชีวิตไม่ได้เกิดจากการผ่าตัด แต่พบเลือดออกในช่องท้อง 1,000 CC ปีกมดลูกด้านซ้ายมีเลือดคั่ง แพทย์วินิจฉัยว่าซีสต์แตกในรังไข่ ซึ่งคนไข้เองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นซีสต์ ในขณะนั้นญาติของผู้เสียชีวิตมีการฟ้องร้อง แต่ด้วยผลชันสูตรที่ชัดเจน มีการไกล่เกลี่ยกันในชั้นศาลและถอนฟ้องในที่สุด

ในส่วนของต้อมที่แจ้งความดำเนินคดี มีการฟ้อง 1. โรงพยาบาลเลอลักษณ์ 2.คุณปิ่น 3.นาวาตรี นพ.กิตติศักดิ์ ผู้บริหารโรงพยาบาลเลอลักษณ์ และ 4.นายแพทย์ภานพ หมอที่ทำการศัลยกรรม ฟ้องหลักๆคือการผ่าตัดไม่ได้มาตราฐาน ส่งผลให้หน้าไม่ได้รูป หน้าเบี้ยว ปากชา เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 10 ล้านบาทแรก ค่าเสียหายทางด้านร่างกาย 10 ล้านบาทที่สอง ค่าความเสียหายทางด้านจิตใจ และ 30 ล้าน เป็นค่าขาดรายได้ ปีละ 3 ล้าน ระยะเวลา 10 ปี อีกทั้งยังมีการอ้างใบรับรองแพทย์ อ้างว่า สกรูไทเทเนียมแทงไปโดนเส้นประสาท ซึ่งในส่วนนี้คุณปิ่นได้แย้งว่า ถ้าโดนเส้นประสาทจริง ปากจะตก กินอะไรก็ไหลออกจากปาก อันนี้ยังไม่เห็นว่าพิการตรงไหน

ส่วนเรื่องฟันคุดที่ต้อมบอกว่าไม่มีการผ่าออกให้ ทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็ง คุณปิ่นตอบประเด็นนี้ว่า มันเป็นเรื่องของเขาเองที่ต้องผ่าฟันคุดออก และไม่เข้าใจว่าเกี่ยวพันกับมะเร็งยังไง

ปิ่น ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่าสำหรับสัญญาที่มีการเซ็นกันทั้งสองฝ่าย ระบุไว้ชัดเจนในหัวข้อที่ 2 ว่า โรงพยาบาลจะเป็นผู้รีวิวเคส ซึ่งส่วนมากจะเป็นอินฟลูเอนเซอร์ และดารา และข้อที่ 7 คือดาราหรืออินฟลูฯต้องลงคลิปเอง เป็นการรีวิวการเปลี่ยนแปลงในการทำศัลยกรรม โดยคลิปที่เป็นเหตุที่ทำให้คุณต้อมไม่พอใจ ขณะนั้นทางฝ่ายการตลาดได้เอาคลิปรีวิวของคุณต้องไปลง และตนเองเพิ่งไปเห็นทีหลัง และได้สั่งให้ลบออกไปแล้วในระยะเวลาอันสั้น แต่ทางคุณต้อมบอกว่าคลิปรีวิวนั้นอยู่นาน ซึ่งตอนนี้คลิปนั้นก็ไม่มีปรากฎแล้ว

และที่ต้อมกล่าวอ้างว่า ในขณะที่ตนเองอยู่ในห้องผ่าตัดและดมยาสลบ หมอที่ทำการผ่าตัด แอบส่องพระ นั้น ปิ่น ระบุว่า ทางหมอและพยาบาลที่ทำการผ่าตัด จะต้องมีการเตรียมตัว และเตรียมห้องผ่าตัด ก่อนทำการผ่าตัดประมาณ 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง และต้องมีการคลีนทั้งตัว ซึ่งยืนยันว่าขณะนั้นไม่สามารถออกไปไหนได้แน่นอน ส่วนตัวคุณปิ่น รู้สึกเสียใจมากที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ อีกฝ่ายมีการพูดพาดพิงถึง รพ. บอกว่ามีหมอทำคนตาย 2 คน ซึ่งส่งผลกระทบเป็นอย่างมากกับ รพ. ตอนนี้มีคนไข้วางเงินมัดจำเงินค่าศัลยกรรม 100,000 บาท จากค่าทำทั้งหมด 1 ล้านบาทขอเงินคืน ไม่ขอทำกับทาง รพ. ในส่วนตรงนี้คุณต้อมจะเยียวยาอย่างไร

ด้านทนายแก้ว พูดปิดท้ายว่า ตอนนี้ตามสัญญาที่มีการเซ็นในการรีวิวยังคงมีอยู่ ยังไม่เป็นโมฆะ และยังไม่ได้ถูกบอกเลิกสัญญา ซึ่งในกรณีนี้จะต้องมีการดูอีกครั้งว่าจะฟ้องกลับหรือไม่ ส่วนในเรื่องของอาญา จะต้องมีค่าเสียหายที่อีกฝ่ายทำให้โรงพยาบาลเสียชื่อเสียง ซึ่งจะต้องมาพิสูจน์ ตามพยานหลักฐาน ไม่ใช่การประจานผ่านโซเชียล ยืนยันว่ามีแนวทางการต่อสู้แน่นอน ต้องไปสู้กันที่ชั้นศาล.

advertisement

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส