แม้ข่าวดีจะมาเยือนเศรษฐกิจไทย เมื่อตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ปี 2567 พุ่งสูงถึง 3.0% เกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ แต่เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียนแล้ว เรายังคงรั้งท้ายตาราง บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกเบื้องหลังการเติบโต วิเคราะห์ปัจจัย ความท้าทาย และโอกาสของเศรษฐกิจไทยในอนาคต เพื่อหาคำตอบว่า การเติบโตครั้งนี้จะยั่งยืนหรือไม่? และเราจะเร่งเครื่องแซงหน้าประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างไร?
ประเทศ | ไตรมาส 1 (%) | ไตรมาส 2 (%) | ไตรมาส 3 (%) |
เวียดนาม | 5.9 | 6.9 | 7.4 |
ฟิลิปปินส์ | 5.8 | 5.2 | 6.4 |
มาเลเซีย | 4.2 | 5.3 | 5.9 |
อินโดนีเซีย | 5.1 | 5 | 4.9 |
สิงคโปร์ | 3 | 2.9 | 4.1 |
ไทย | 1.6 | 2.2 | 3 |
ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยในไตรมาส 3 ปี 2567 กลับส่งสัญญาณบวกอย่างมีนัยสำคัญ โดยขยายตัวสูงถึง 3.0% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ และเป็นการเติบโตที่เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 1 และ 2 ที่ขยายตัว 1.6% และ 2.2% ตามลำดับ บ่งชี้ถึงแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในบริบทของภูมิภาคอาเซียน การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยังคงอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง โดยเวียดนามยังคงเป็นผู้นำ ด้วยอัตราการขยายตัวของ GDP ในไตรมาส 3 สูงถึง 7.4% ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ที่ 6.4% และมาเลเซียที่ 5.9% สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เท่าทันกับประเทศเพื่อนบ้าน
การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในไตรมาส 3 ได้รับแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยหลัก ประกอบด้วย
ความท้าทายและโอกาสของเศรษฐกิจไทย
แม้เศรษฐกิจไทยจะแสดงให้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัว แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่
ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังมีโอกาสที่จะพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยอาศัย
กราฟแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในอาเซียนหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเผยให้เห็นว่าประเทศไทยมีอัตราการฟื้นตัวที่ช้าที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดการระบาด ทุกประเทศมีดัชนีชี้วัดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 100 จุดเท่ากัน แต่หลังจากเผชิญวิกฤตโรคระบาด ดัชนีของประเทศไทยกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง และยังไม่สามารถกลับไปถึงระดับ 100 จุดได้จนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนฟื้นตัวได้เร็วกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนาม ที่มีดัชนีสูงถึง 130 จุดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2024
ปัจจัยที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยไว้ อาจเป็นเพราะประเทศไทยพึ่งพารายได้จากภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการปิดประเทศและข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างช่วงการระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และการขาดแคลนแรงงานมีฝีมือ ก็เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนจากต่างประเทศในไทยมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม กลับได้รับการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยเสียโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ
แม้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ปี 2567 จะบ่งชี้ถึงสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เด่นชัด ทว่าการเติบโตดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงภาวะการณ์ที่เปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน โดยมีทั้งโอกาสและความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเตรียมรับมืออย่างรอบคอบ
ความท้าทายเชิงโครงสร้าง ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และภาระหนี้ครัวเรือนที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของการบริโภคในระยะยาว ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม ในขณะเดียวกัน โอกาสในการพัฒนายังคงปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก
บทบาทของภาครัฐถือเป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม เพื่อนำพาประเทศให้ก้าวข้ามผ่านความท้าทาย และคว้าโอกาสในการพัฒนา โดยควรให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด ควบคุมการใช้จ่ายภาครัฐให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างความยั่งยืนทางการคลัง และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การส่งเสริมการลงทุนในเชิงรุก ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจก็เป็นสิ่งสำคัญ การพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์เพื่อยกระดับทักษะและความรู้ของแรงงาน รองรับความต้องการของตลาดแรงงานในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ และการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำโดยการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจให้ทั่วถึง และสร้างหลักประกันทางสังคมที่ครอบคลุม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม ก็เป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องให้ความสำคัญ
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภาคเอกชนต้องปรับตัว และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ประชาชนต้องตระหนักถึงความสำคัญของการออม และการวางแผนทางการเงิน เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระดับบุคคล
ท่ามกลางความท้าทายและความไม่แน่นอน ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่ง ด้วยความร่วมมือ ความมุ่งมั่น และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ประเทศไทยจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรค และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้กับคนไทยทุกคน