ราคาทองคำ พุ่งสูงแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายปี อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น? บทความนี้จะวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อราคาทองคำ
เวลานี้เกิดกระแสที่หลายๆคนกำลังแห่ซื้อทองกัน ไล่ไปตั้งแต่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ไปจนถึงลูกค้าที่เดินช้อปในห้างฯ ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับ $2,364 ต่อออนซ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากสร้างสถิติสูงสุดติดต่อกันถึง 7 วัน เมื่อเทียบแบบปีต่อปี ทองคำมีราคาที่เพิ่มขึ้น 16.5%
ด้านนักลงทุนคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยถือเป็นแรงผลักดันหลักที่ทำให้ราคาทองเพิ่มขึ้น แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆที่ช่วยหนุนด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะจีน ต่างกว้านซื้อทองคำเพื่อลดการพึ่งพิงเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ธนาคารกลางมองว่าทองคำเป็นแหล่งเก็บมูลค่าในระยะยาว และเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจหรือสถานการณ์โลกมีความไม่แน่นอน
ทองคำถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่ทนทานยืดหยุ่น เมื่ออัตราดอกเบี้ยร่วงลง ราคาทองมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น เพราะทองคำดึงดูดใจกว่าทรัพย์สินที่มีรายได้อย่างเช่นพันธบัตร นักลงทุนยังมองว่าทองเป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ โดยเชื่อว่าทองคำจะยังคงคุณค่าของตัวเองได้แม้ราคาจะเพิ่มสูงขึ้น ด้านธนาคารกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ซื้อทองคำติดต่อกันเป็นเดือนที่ 17 ในเดือนมีนาคม โดยเพิ่มอีก 160,000 ออนซ์ ทำให้ทองคำสำรองเพิ่มขึ้นเป็น 72.74 ล้านทรอยออนซ์
รายงานการวิจัยของ UBS ลงวันที่ 9 เมษายน ระบุว่าในท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ธนาคารกลางต่างๆ อาจต้องการ "ลดสัดส่วนการถือครอง" ดอลลาร์สหรัฐฯ และหันมาซื้อทองแทน เมื่อจีนเพิ่มทองคำสำรองของตัวเอง ความต้องการที่สูงขึ้นก็ยิ่งดันให้ราคาทองที่ถูกผลักดันอยู่แล้วจากนักลงทุนทั่วไป ให้พุ่งสูงขึ้นไปอีก นอกจากนี้ นักลงทุนจีนเองก็หันมาสนใจทองคำในฐานะสินทรัพย์ทางเลือก ท่ามกลางภาวะตกต่ำของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์และราคาหุ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้านธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ ทั้งอินเดียและตุรกีก็กำลังเพิ่มทองคำสำรองของตัวเองเช่นกัน โดยรายงานของ UBS ชี้ว่าการเติบโตของ GDP ในอินเดียเป็นแรงผลักดันให้มีการซื้อทองคำมากขึ้น
การที่ธนาคารกลางต่างๆ กว้านซื้อทองคำสะท้อนให้เห็นถึงการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ลดลง นี่คือความเห็นของ Ulf Lindahl ซีอีโอของ Currency Research Associates โดยเธอชี้ว่า ดอลลาร์กำลังหมดความน่าดึงดูดสำหรับธนาคารกลางที่ต้องการลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ
รายงานงานวิจัยของ JP Morgan ในเดือนมีนาคมระบุว่า ประเทศที่ไม่ได้เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ อาจสะสมทองคำเพื่อ "ลดสัดส่วนการถือครอง" ดอลลาร์ อันเป็นวิธีลดความเสี่ยงจากการถูกคว่ำบาตร งานวิจัยนี้ยังระบุด้วยว่าการที่ธนาคารกลางซื้อทองคำเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อการเพิ่มขึ้นของราคาทองมาตั้งแต่ปี 2022 JP Morgan เชื่อว่าทองคำกำลังเข้าสู่ยุคแห่งความแข็งแกร่ง เพราะปริมาณทองคำที่ธนาคารกลางซื้อในปี 2022 นั้น สูงกว่าปริมาณการซื้อเฉลี่ยต่อปีในช่วงทศวรรษก่อนหน้านั้นถึงสองเท่า
ราคาทองที่พุ่งสูงขึ้นเกิดขึ้นท่ามกลางการเยือนประเทศจีนของ Janet Yellen รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินในความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน รวมถึงสิ่งที่ Yellen เรียกว่าการผลิตเกินความต้องการของรถยนต์ไฟฟ้าจีน ด้านราคาน้ำมันเองก็กำลังเพิ่มขึ้น ซึ่ง Mark Zandi หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Moody's มองว่านี่เป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รายงานวิจัยจาก UBS ระบุว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นน่าจะกระตุ้นความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และจะยิ่งดันให้ราคาทองคำสูงขึ้นไปอีก
ราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงนี้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนคิดว่าธนาคารกลางของสหรัฐฯ (Fed) จะลดอัตราดอกเบี้ยในปลายปีนี้ แต่พวกเขายังไม่แน่ใจว่าจะลดเงินเฟ้อได้สำเร็จโดยที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย จากรายงานวิจัยเมื่อวันที่ 9 เมษายน ธนาคาร UBS มองว่าการที่นักลงทุนคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ย ยังเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนยังมองทองคำในแง่ดี
Jerome Powell ประธาน Fed ให้ความเห็นเมื่อวันที่ 3 เมษายนว่า แม้เงินเฟ้อจะลดลงบ้าง แต่ก็ยังไม่เข้าใกล้ระดับเป้าหมายของ The Fed ที่ 2% และอาจจะต้องเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัว นักลงทุนส่วนใหญ่ (51%) มองว่า Fed จะลดดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อยในเดือนมิถุนายน แต่ตัวเลขการจ้างงานในเดือนมีนาคมก็ออกมาดีเกินคาด ทำให้หลายคนเริ่มสงสัยว่า Fed จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยหลายครั้งหรือเปล่า ในเมื่อเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง
ด้านดัชนีราคา PCE ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อหลักที่ Fed ใช้ พุ่งขึ้น 2.5% ในช่วง 12 เดือนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งมากกว่าในเดือนมกราคมที่เพิ่มขึ้น 2.4% นอกจากนี้ ดัชนี PCE แบบไม่รวมอาหารและพลังงาน (ซึ่งมีความผันผวนสูง) ก็เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งถือว่าลดลงเล็กน้อยจาก 0.4% ในเดือนมกราคม
สุดท้ายนี้ ทองคำ ยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าลืมว่าทองคำเป็นสิ่งที่คนนิยมถือไว้ในช่วงที่การเมืองไม่แน่นอนและสงครามระหว่าง รัสเซีย ยูเครน ที่ยังไม่จบ และ อิหร่าน กับ อิสราเอล ที่มีแนวโน้มเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเลือกตั้งในหลายประเทศตลอดปีนี้ รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจเลยทำให้ทองคำดูมีค่าและมั่นคงขึ้นมาทันที
ที่มา CNN