ความยั่งยืน

เร่งเปลี่ยนไทย ก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านงาน ESG Symposium 2024

30 ก.ย. 67
เร่งเปลี่ยนไทย ก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านงาน ESG Symposium 2024

จากวิกฤตโลกเดือดที่ทวีความรุนแรงขึ้นและส่งผลกระทบในทุกมิติ การดำเนินการเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย ‘Net Zero’ กลายเป็นภารกิจร่วมกันของคนทั้งโลก องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก คาดว่า โลกจะร้อนขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสในปี 2027 ซึ่งปัจจุบันอุณหภูมิของโลกขึ้นไปที่ 1.42 องศาเซลเซียสแล้ว 

เร่งเปลี่ยนไทย ก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านงาน ESG Symposium 2024

สาเหตุสำคัญ คือ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ในภาคพลังงาน ภาคการคมนาคมขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งใหญ่กำลังส่งผลกระทบอย่างหนักทั่วโลก โดยในการประชุม COP28 มีบทสรุปสำคัญว่า โลกจะเปลี่ยนผ่าน พร้อมเรียกร้องข้อตกลงให้ทุกประเทศลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล อีกทั้งเกิดการระดมทุนมากกว่า 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน

ความท้าทายของการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำในประเทศไทย ได้แก่ มาตรการ Taxonomy และ CBAM เป็นต้น ซึ่งกระทบต่อภาคการผลิต นำเข้า และส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอน แม้ผู้ประกอบการทุกระดับเริ่มเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ แต่ยังทำได้ล่าช้า เนื่องจากวิกฤตด้านพลังงาน เงินเฟ้อ เศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงยังขาดแคลนเงินทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้อีกจำนวนมาก นอกจากนี้ เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป หันมาให้ความสำคัญกับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบที่รุนแรงขึ้น เช่น อากาศแปรปรวน มลพิษ เป็นต้น

‘ESG Symposium 2024' เป็นเวทีระดับประเทศที่มุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ ระดมความคิดเห็นและแนวทางการดำเนินงานด้าน ESG และการพัฒนาอย่างยั่งยืน จากไทย อาเซียน และระดับโลก เพื่อหาแนวทางการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำไปด้วยกัน 

โดยภายในงาน ได้นำเสนอแนวทางความร่วมมือเร่งเปลี่ยนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ต่อรัฐบาลในงาน ESG Symposium 2024 บทความนี้ SPOTLIGHT ได้สรุปประเด็นที่สำคัญภายในงานไว้แล้ว

Global Perspective on Green Transition มุมมองระดับโลกต่อการเปลี่ยนผ่านสู่สีเขียว

โดย Niamh Collier-Smith, ผู้แทน UNDP ประจำประเทศไทย

การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนในระดับโลกต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงวิธีการวัดความก้าวหน้า ในอดีต ตัวชี้วัดเช่นอายุขัยและการศึกษาถูกใช้เพื่อประเมินการพัฒนามนุษย์ แต่สุขภาพของโลกกลับถูกมองข้ามไป ทำให้ในปี 2020 องค์การสหประชาชาติได้ขยายกรอบการพัฒนามนุษย์ โดยเพิ่มความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเข้าไปด้วย

แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีประเทศใดที่สามารถบรรลุการพัฒนามนุษย์ และการรักษาสุขภาพของโลกได้อย่างสมดุล นี่จึงเป็นสัญญาณสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่ทุกประเทศต้องมุ่งสู่อนาคตที่ความเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์และการปกป้องสิ่งแวดล้อมสามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้

ส่วนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ เป็นแกนหลักของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ โดยมีโครงการริเริ่มอย่าง ‘Pact for the Future’ และการกำหนดพันธกรณีระดับประเทศ’ (NDCs) ที่ช่วยกำหนดแนวทางให้ประเทศต่างๆ ปฏิบัติตามเป้าหมายของความตกลงปารีส 

การปรับปรุงพันธกรณีด้านสภาพภูมิอากาศเหล่านี้ทุกๆ ห้าปี ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการกำหนดอนาคตของความยั่งยืนระดับโลก โดยองค์การ UNDP และพันธมิตรระหว่างประเทศได้ให้ความช่วยเหลือมากกว่า 120 ประเทศในการดำเนินพันธกรณีเหล่านี้ เพื่อให้พวกเขาสามารถเดินหน้าสู่การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

อีกหนึ่งส่วนสำคัญของการเปลี่ยนผ่านนี้คือ การจัดแนวการเงินภาคเอกชนให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมภาคการเงินและธุรกิจมีบทบาทสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5°C ตามข้อตกลงปารีส โครงการริเริ่มอย่าง ‘Integrated National Financing Framework’ (INFF) ช่วยประเทศต่างๆ ในการเปลี่ยนแปลงการลงทุนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่โครงการที่ยั่งยืนมากขึ้น 

สำหรับประเทศไทย เครื่องมืออย่าง ‘SDG Investor Map’ และ ‘Biodiversity Finance Initiative’ (BIOFIN) ได้มอบแนวทางในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อให้แน่ใจว่าอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทั้งมนุษย์และโลกจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

Future Competitive of Energy Transition การแข่งขันในอนาคตของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

โดย Roberto Bocca สมาชิกคณะกรรมการบริหาร - หัวหน้าฝ่ายพลังงานและวัสดุ WEF

การเปลี่ยนผ่านพลังงานในไทยและภูมิภาคอาเซียนกำลังอยู่ในช่วงสำคัญ โดยความก้าวหน้าถูกวัดจากสามมิติหลัก ได้แก่ความเท่าเทียมด้านพลังงาน’ ‘ความมั่นคงและความยั่งยืนแม้ว่าภูมิภาคอาเซียนจะมีความก้าวหน้าในด้านความมั่นคง และความยั่งยืนด้านพลังงาน แต่การเปลี่ยนผ่านกำลังชะลอตัว โดยเฉพาะในด้านความเท่าเทียม 

ปัจจุบัน ภูมิภาคอาเซียนต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการที่ขัดขวางศักยภาพเต็มที่ของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดย 4 อุปสรรคหลัก มีดังต่อไปนี้

  1. การขาดแคลนเงินทุนสำหรับพลังงานสะอาด 
  2. โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่
  3. ความยากในการรักษาสมดุลระหว่างความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นและการลดการปล่อยคาร์บอน
  4. การขาดกรอบนโยบายที่ชัดเจน

เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ Bocca มองว่า จากงาน ASEAN CEOs Forum ที่ได้เน้นย้ำถึงสามพื้นที่ที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ 

  1. การปลดล็อกการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงาน 
  2. การส่งเสริมความร่วมมือระดับชาติและระดับภูมิภาค 
  3. การเตรียมความพร้อมให้กับสังคมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง 

หากอาเซียนสามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ ประเทศในภูมิภาคจะสามารถเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่ไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านพลังงานระดับโลก

Regenerative Case Sharing from China การแบ่งปันกรณีฟื้นฟูในประเทศจีน

โดย Dr. Cai Guan, รองผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายพัฒนาอุตสาหกรรมคาร์บอนและความเป็นกลางทางคาร์บอนในเมืองอู่ฮั่น

ตลาดคาร์บอนของจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีกฎระเบียบสำคัญสองฉบับที่มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสูงสุด (Carbon Peaking) และความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ของประเทศ 

โดยล่าสุด ในปี 2024 มีการปรับปรุงเพิ่มเติมด้วยกฎระเบียบการจัดการการซื้อขายคาร์บอน ซึ่งได้พัฒนาระบบตรวจสอบ รายงาน และยืนยันการปล่อยคาร์บอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบในตลาด

ความสำเร็จของตลาดคาร์บอนของจีนสามารถเห็นได้ จากทั้งตลาดการซื้อขายคาร์บอนที่บังคับใช้ และตลาดการลดการปล่อยคาร์บอนแบบสมัครใจ นับตั้งแต่การเปิดตัวระบบการซื้อขายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับประเทศ (ETS) ในเดือนกรกฎาคม ปี 2021 ตลาดมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 19% และราคาคาร์บอนเพิ่มขึ้นถึง 87% 

นอกจากนี้ ตลาดคาร์บอนระดับภูมิภาค เช่นตลาดคาร์บอนของมณฑลหูเป่ยยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจีน ตลาดคาร์บอนของหูเป่ยมีการสนับสนุน 343 หน่วยงานที่ปล่อยก๊าซหลัก และดึงดูดนักลงทุนสถาบันเกือบ 967 ราย โดยมีการซื้อขายเครดิตคาร์บอนอยู่ที่ประมาณ 40-45 หยวนต่อตัน 

ความพยายามในระดับภูมิภาคนี้ช่วยเสริมสร้างกรอบการทำงานระดับประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศทั้งในท้องถิ่นและในระดับประเทศ เมื่อระบบเติบโตมากขึ้น จีนยังคงพัฒนาองค์ความรู้ในอุตสาหกรรมผ่านโครงการฝึกอบรมตลาดคาร์บอนจีน (CRC) เพื่อเตรียมผู้มีส่วนร่วมให้สามารถดำเนินการในตลาดที่กำลังพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Thailand Potential for Sustainable Transition ศักยภาพการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนของประเทศไทย

Energy Transition การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

โดย Dr. Eric Larson, ศาสตราจารย์วิจัย มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน, สหรัฐอเมริกา

การเปลี่ยนแปลงพลังงานของประเทศไทย ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การผลิตไฟฟ้าแต่ต้องการแนวทางที่ครอบคลุม ความโปร่งใส และข้อมูลแบบเปิด จะช่วยอำนวยความสะดวกในการตัดสินใจ และเพิ่มความเข้าใจของประชาชน 

การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีตัวแทนจากรัฐบาล ภาคเอกชน องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร สหภาพแรงงาน และสหภาพเกษตรกร การจัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาสามารถรับประกันได้ว่ามุมมองที่หลากหลายจะได้รับการพิจารณา ทำให้กระบวนการนี้เป็นไปอย่างครอบคลุม และตอบสนองต่อความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในขณะที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน

เป้าหมายของประเทศไทยในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์คือ การมองภาพรวมที่ครอบคลุมถึงทุนที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้แน่ใจว่า ความหลากหลายทางชีวภาพ ความยั่งยืนทางการเกษตร และสุขภาพของป่าไม้ จะได้รับการสมดุลกับความต้องการทางเศรษฐกิจ ผ่านการส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงสีเขียวที่ครอบคลุมประเทศไทย 

Agriculture ภาคเกษตรกรรม

โดย Dr. Nana Kuenkel, ผู้อำนวยการและประสานงานกลุ่มด้านการเกษตรและอาหาร GIZ, เยอรมนี

สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จากน้ำท่วมรุนแรงและอุณหภูมิที่สูงขึ้นใกล้ระดับ 1.5 องศาเซลเซียส ความท้าทายเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชไร่และข้าว ที่มีคุณภาพลดลง และการกัดเซาะดินเพิ่มขึ้น 

เพื่อจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ การสำรวจกลยุทธ์ในการลดการปล่อยก๊าซ และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งสำคัญ โครงการที่มุ่งเน้นการจัดการน้ำและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเพิ่มรายได้ของเกษตรกรได้ถึง 20% ในขณะที่ลดการใช้ปุ๋ยลงอย่างมาก เทคนิค เช่น การปรับระดับที่ดินด้วยเลเซอร์สามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการชลประทานได้ และการฝึกอบรมสามารถช่วยเกษตรกรในภาคปาล์มน้ำมัน ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานความยั่งยืนระดับสากล 

การร่วมมือของประเทศไทย กับประเทศในภูมิภาคอาเซียน มีความสำคัญในการกำหนดแนวทางด้านการเกษตรที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ภาคการเกษตรมีความยืดหยุ่นและสามารถรับรองความมั่นคงด้านอาหารท่ามกลางความท้าทายทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ

Regenerative Waste Management การจัดการขยะแบบฟื้นฟู

โดย Belinda Knox, รองกรรมการผู้จัดการ, I-Environment Investment Ltd. (IEI) อิโตชู, สหราชอาณาจักร

ในขณะที่ประเทศไทยมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนการจัดการขยะเชิงฟื้นฟูได้กลายเป็นจุดสนใจหลักในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม แนวทางเชิงกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ในขณะที่ลดต้นทุนให้เหลือน้อยที่สุดเป็นสิ่งจำเป็น การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มรายได้แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะเพียงอย่างเดียวถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ

การสร้างแหล่งรายได้หลายทางผ่านการจัดการขยะจากบุคคลภายนอกสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ให้กู้เกี่ยวกับความสามารถในการระดมทุนของโครงการเหล่านี้ได้ โดยการจัดสรร 60% ของรายได้ให้กับการดำเนินงานหลักและการส่งออก 40% ที่เหลือไปยังแหล่งรายได้ทางเลือก 

ประเทศไทยสามารถสร้างกรอบการจัดการขยะที่แข็งแกร่งซึ่งสนับสนุนทั้งความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ การนำแนวทางปฏิบัติที่เป็นนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการขยะเชิงฟื้นฟูจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถจัดการกับความท้าทายด้านขยะและส่งเสริมแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืนซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม

The Key Drivers for Inclusive Green Transition ปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศไทย

1. Saraburi Sandbox: โมเดลเมืองคาร์บอนต่ำ 

‘Saraburi Sandbox’ เป็นเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย ตั้งอยู่ในจังหวัดสระบุรี โดยมุ่งหวังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมาย ‘Net Zero’ มีความก้าวหน้าในหลายด้าน เช่น การใช้เทคโนโลยี CCUS ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ซึ่งต้องการการสนับสนุนทางการเงินและการวิจัยเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพัฒนาป่าชุมชน เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสร้างรายได้ให้ชุมชน

2. Circular Economy: การใช้ทรัพยากรหมุนเวียน

การประชุมได้หารือเกี่ยวกับการจัดการขยะอย่างครบวงจร โดยมีข้อเสนอให้มีการคัดแยกขยะที่ต้นทาง การสร้างศูนย์คัดแยกขยะย่อย และการพัฒนาระบบการจัดการขยะทั้งระบบ เช่น ระบบ EPR (Extended Producer Responsibility) เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการจัดการขยะและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

3. Just Transition: การสนับสนุนทรัพยากร 

การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำเป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการ โดยเสนอให้มีความร่วมมือกับภาครัฐและมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเทคโนโลยีและความรู้ นอกจากนี้ การเข้าถึงเงินทุนและการกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อประเมินความสามารถในการปรับตัว จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่น

4. Technology for Decarbonization: การพัฒนาเทคโนโลยี  

การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยมุ่งเน้นที่นวัตกรรมการขนส่งสีเขียวและการสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบจัดเก็บพลังงาน (ESS) นอกจากนี้ การทดลองใช้เทคโนโลยีในสภาพแวดล้อมจริงจะช่วยสร้างความต้องการในตลาดและกระตุ้นการลงทุนที่จำเป็น

5. Sustainable Packaging Value Chain: การจัดการบรรจุภัณฑ์

การพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าด้านบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนมีความสำคัญ โดยสร้างความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก โดยนำเทคโนโลยีในการคำนวณ Carbon Footprint มาช่วยในการวางแผนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การสนับสนุน SMEs ในการเข้าถึงทรัพยากรและเทคโนโลยีจะช่วยให้บรรลุเป้าหมาย ESG ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Driving Inclusive Green Transition 

โดย ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม, กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG

ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลใส่ใจเรื่องภัยธรรมชาติ เนื่องจากประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาโลกเดือดและเป็นปัญหาหลักของประชาคมโลก ซึ่งในปีที่ผ่านมา การผนึกกำลังทำงานของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน ประชาสังคม เพื่อร่วมเปลี่ยนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เกิดความคืบหน้าอย่างมาก เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

โดยได้ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านโครงการ Saraburi Sandbox ที่สร้างรายได้ 2.5 ล้านบาทต่อปี ยกระดับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์คา์บอนต่ำ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 80% ลดการปล่อยคาร์บอน 1.17 ล้านตันต่อไป ยกระดับนวัตกรรมรีไซเคิ้ลสร้างรายได้ ผ่านโครงการความร่วมมือของ SCG 

ส่วนในปีนี้ มีการระดมกำลังกว่าสองเดือน ร่วมแสดงพลังกว่า 3,500 คน โดยถอดบทเรียน 1 ปีที่ผ่านมา สรุปเป็นสี่แนวทาง ดังนี้:

  1. ปลดล็อกกฎหมายและข้อกำหนด
  2. ผลักดันการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว
  3. พัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว
  4. สนับสนุนการปรับตัว เสริมศักยภาพการแข่งขัน SMEs

ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ต้องใช้ความร่วมมือของทุกภาคส่วน 

การผลักดันศักยภาพประเทศไทย เพื่อเร่งเปลี่ยนสู่สังคมคาร์บอนต่ำไปด้วยกัน

โดย รองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเจอภัยพิบัติถึง 137 ครั้ง ถูกจัดอันดับ 9 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบของ ‘climate change’ ส่วนในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ไทยเจออากาศร้อนจัดมากและล่าสุด จังหวัดในภาคเหนือและอีสานเจอกับฝนตกหนักด้วย 

สิ่งเหล่านี้ทำให้รัฐบาลเร่งมือในการจัดการวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เพราะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยใน 10 ปีข้างหน้า รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ว่าการปล่อยคาร์บอนเพื่อไม่ให้โลกร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี 2050 และในปี 2065 เราตั้งเป้าให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ รวมถึงเราต้องเตรียมรับมือภัยพิบัติที่เพิ่มมากขึ้น 

ซึ่งทางรัฐบาลได้ตั้งเป้า 6 ประเด็นหลัก ดังนี้:

  1. การจัดการทรัพยากรน้ำ 
  2. ความมั่นคงทางอาหาร
  3. การท่องเที่ยว
  4. การสาธารณสุข
  5. การจัดการทรัพยากร
  6. การตั้งถื่นฐานของมนุษย์

ทางรัฐบาลเร่งทำงานเรื่องของการแจ้งเตือนภัย โดยมีระบบแจ้งเตือนภัยที่มีการพัฒนาขึ้น ที่สามารถแจ้งเตือนภัยได้อย่างเป็นระบบล่วงหน้า 2-3 วัน นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ขับเคลื่อนนโยบาย ‘Green Economy’ และต้องปรับ sme ให้ทันกับเหตุการณ์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องให้การสนับสนุนและประคับประคอง 

โดยรัฐบาล ในฐานะผู้เสนอกฎหมายได้พยายามผลักดันร่างพรบปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ตั้งกองทุนสภาพอากาศ รัฐบาลจะรับสิ่งที่ภาคเอกชนเสนอมา 

ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะเปลี่ยนแปลงความท้าทาย ข้อจำกัด เป็นพลังงานต่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน รัฐบาลจะขับเคลื่อนทุกนโยบาย สู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยอย่างยั่งยืนและมีสมดุล โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT