ข่าวเศรษฐกิจ

THAILAND NEXT เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย รับยุค Disruption!

4 ต.ค. 67
THAILAND NEXT เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย รับยุค Disruption!

โลกกำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หรือที่เรียกว่า "The Great Disruption" ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบรุนแรงขึ้น ความผันผวนทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์  ประเทศไทยเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ คำถามสำคัญ คือ เราจะเตรียมพร้อมรับมือ และปรับตัวอย่างไร ที่จะนำพาประเทศไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ?

THAILAND NEXT เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย รับยุค Disruption!

ด้วยความตระหนักถึงความสำคัญนี้  วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 66  จึงได้จัดงานเสวนา  "THAILAND NEXT: เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย"  ขึ้น เพื่อระดมสมองจากผู้ทรงคุณวุฒิจากทุกภาคส่วน  ทั้งภาครัฐ  ภาคเอกชน  ภาคประชาชน  และนักวิชาการ  ร่วมกันอภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น  และเสนอแนะแนวทางการพัฒนาประเทศในระยะยาว  โดยมี  คุณสุทธิชัย หยุ่น  รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการเสวนา  พร้อมด้วยผู้ร่วมเสวนา  4  ท่าน  ได้แก่

  • ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
  • คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
  • ดร.ณัฐริกา วายุภาพ นิติพน รองผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
  • พลอากาศตรี จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย รองเจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ กองทัพอากาศ

การเสวนาในครั้งนี้  มุ่งเน้นการอภิปรายในหัวข้อสำคัญ เพื่อ เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย จาก "THE GREAT DISRUPTION" สู่ "THE GREAT TRANSITION"

ทำไมต้อง "เปลี่ยนใหญ่"

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล  กรรมการรองผู้จัดการใหญ่  ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน "การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่" หรือ Disruption  ที่ถาโถมเข้าใส่  ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  การแข่งขันทางเศรษฐกิจ  และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์  ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในสังคมไทย

12 

คำว่า "เปลี่ยนใหญ่" จึงเป็นเสมือนสัญญาณเตือน  ที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับตัวของประเทศ  คำนี้มีความหมายที่ชัดเจน  กระชับ  และเข้าใจง่าย  เปรียบเสมือนเสียงปลุก  ที่กระตุ้นให้คนไทยทุกคนตระหนักถึงสถานการณ์  และร่วมมือกัน  เพื่อนำพาประเทศ  "เปลี่ยนผ่าน"  (Transition)  ไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน หากเปรียบประเทศไทยเป็นนักวิ่งมาราธอน  ในอดีต  เราอาจเคยวิ่งนำหน้า  แต่ปัจจุบัน  กำลังถูกคู่แข่งแซงหน้าไปอย่างรวดเร็ว  ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย  มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่า  ขณะที่ประเทศไทย  กำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง  ที่ฝังรากลึก  และฉุดรั้งการพัฒนา ปัญหาเหล่านี้  มีให้เห็นอยู่ทั่วไป  เช่น

  • ภาคเศรษฐกิจ: โรงงานอุตสาหกรรมทยอยปิดตัว การส่งออกซบเซา การลงทุนจากต่างประเทศลดลง
  • ภาคสังคม: คุณภาพการศึกษาตกต่ำ เด็กไทยมีคะแนนสอบ PISA ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • ภาคเกษตร: เกษตรกรมีรายได้ตกต่ำ มีหนี้สินพอกพูน และที่ดินทำกินถูกยึด
  • สิ่งแวดล้อม: ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม ปัญหามลพิษ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทวีความรุนแรงขึ้น
  • ระบบราชการ: ยังคงมีขั้นตอนที่ซับซ้อน ล่าช้า และไม่โปร่งใส เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และการพัฒนาประเทศ

ปัญหาเหล่านี้  สะท้อนให้เห็นถึง  "ความเปราะบาง"  ของประเทศไทย  ในยุคแห่ง  Great Disruption  หากเราไม่ปรับตัว  ไม่เปลี่ยนแปลง  ประเทศไทยอาจจะกลายเป็นเหมือน  "Nokia"  ที่เคยเป็นผู้นำด้านโทรศัพท์มือถือ  แต่สุดท้ายก็ต้องล้มหายตายจากไป  เพราะไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ดังนั้น  ประเทศไทยจำเป็นต้อง  "เปลี่ยนใหญ่"  เพื่อ  "เปลี่ยนผ่าน"  (Transition)  เข้าสู่ยุคใหม่  ให้ทันกับพลวัตของโลก  การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้  ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน  ทั้งภาครัฐ  ภาคเอกชน  ภาคประชาสังคม  และประชาชนทุกคน  เพื่อร่วมกันสร้าง  "ประเทศไทยยุคใหม่"  ที่เข้มแข็ง  ยั่งยืน  และสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

quote02_0

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า  ประเทศไทยเคยผ่านช่วงเวลาแห่งการ  "เปลี่ยนใหญ่"  มาแล้ว  ในสมัยรัชกาลที่ 5  พระองค์ทรงนำประเทศ "เปลี่ยนผ่าน" เข้าสู่ยุคใหม่ ด้วยการปฏิรูปครั้งใหญ่  เช่น  การเลิกทาส  การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง  การปฏิรูประบบราชการ  การศึกษาและการสาธารณสุข การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ทำให้ประเทศไทยสามารถธำรงไว้ซึ่งเอกราช และความมั่นคง  ท่ามกลางกระแส "ลัทธิล่าอาณานิคม" ของชาติตะวันตก

ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับ "ความท้าทายครั้งใหม่" ที่เทียบเท่ากับยุคล่าอาณานิคม  เราจำเป็นต้อง "เปลี่ยนใหญ่"  อีกครั้ง  เพื่อ "เปลี่ยนผ่าน" ประเทศ ให้ก้าวข้ามผ่านวิกฤตการณ์ และมุ่งสู่ "อนาคตที่ยั่งยืน" ด้วยเหตุนี้  วปอ. รุ่นที่ 66  จึงได้ร่วมกันจัดทำหนังสือ  "เปลี่ยนใหญ่ ประเทศไทย"  ขึ้น เพื่อนำเสนอ "ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย"  ที่ครอบคลุม  4  ด้าน  ได้แก่  การซ่อมฐานราก  การปฏิรูประบบราชการ  การเสริมสร้างกองทัพ  และการเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทาย  โดยมีเป้าหมาย  เพื่อ  "เปลี่ยนผ่าน"  ประเทศไทยเข้าสู่ยุคใหม่ที่เข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืน

คนไทยเก่ง...แต่รวมกันไม่เก่ง? โจทย์ใหญ่ของการพัฒนาประเทศ

คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ หรือ  "THE GREAT TRANSITION" ซึ่งเป็นผลพวงจาก  "THE GREAT DISRUPTION"  หรือ ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในสังคม  ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเทคโนโลยี

โดยการปรับตัวและการพัฒนาประเทศ ให้เท่าทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก จึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง

quote03_0

ในนามภาคเอกชนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง  ที่ได้มีโอกาสแบ่งปันมุมมอง และข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาประเทศภายใต้หัวข้อ  "THAILAND NEXT : เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย" โดยขอนำเสนอประเด็นสำคัญ 2  ประการที่สะท้อนถึงศักยภาพ  และความท้าทายของประเทศไทยในปัจจุบัน

ประการที่ 1 ศักยภาพอันโดดเด่น  แต่ยังขาด "พลังแห่งความร่วมมือ"

จากประสบการณ์ในการดำเนินงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก พบว่า  คนไทยมีศักยภาพ  และความสามารถเฉพาะตัวสูง  ไม่ว่าจะเป็นในด้าน

  • ความคิดสร้างสรรค์: คนไทยมีความสามารถในการคิดค้น และประยุกต์ใช้นวัตกรรมใหม่ๆ
  • ทักษะการทำงาน: คนไทยมีทักษะการทำงาน และความสามารถในการเรียนรู้สูง
  • การปรับตัว: คนไทยมีความยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี

quote04_0

ประการที่ 2 :  มนุษย์เป็นทั้งผู้สร้างสรรค์ และผู้ทำลาย

มนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม  และเทคโนโลยี  ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต  พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม  แต่ในขณะเดียวกัน  มนุษย์ก็เป็นผู้ทำลายเช่นเดียวกัน เราทุกคนต้อง "ร่วมมือกัน" เพื่อสร้างประโยชน์สุขร่วมกัน  เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

ภาคเอกชน :  บทบาท  และ  ข้อเสนอแนะ

ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  สร้างงาน  สร้างรายได้  และพัฒนาสังคม  อย่างไรก็ตาม  ยังมีข้อจำกัด  และความท้าทาย  หลายประการ  เช่น

  • กฎระเบียบ และ ข้อบังคับ ที่ซับซ้อน และไม่เอื้อต่อการลงทุน
  • การขาดความร่วมมือ และการประสานงาน ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
  • การขาดแคลนแรงงาน ที่มีทักษะ และความเชี่ยวชาญ

ภาคเอกชนไทย  มีศักยภาพสูง  และสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้  เห็นได้จากหลายบริษัท  ที่ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ  เช่น  CP  Central  SCG  และ  ThaiBev อย่างไรก็ตาม  เมื่อต้องดำเนินธุรกิจในประเทศ  กลับต้องเผชิญกับอุปสรรคและความล่าช้าในขั้นตอนต่างๆ  เปรียบเสมือน  "Superman Syndrome"  ที่แข็งแกร่งเมื่ออยู่ต่างประเทศ  แต่กลับอ่อนแอเมื่ออยู่บ้าน

ข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อน  "การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่"  ของประเทศไทย  ภาคเอกชน  ใคร่ขอเสนอแนะแนวทาง  ดังนี้

  • การปรับปรุงกฎระเบียบ และ กฎหมาย ให้เอื้อต่อการลงทุน และการประกอบธุรกิจ
  • การส่งเสริมความร่วมมือ และการประสานงาน ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
  • การพัฒนาศักยภาพของทุนมนุษย์ ให้มีทักษะ และความเชี่ยวชาญ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
  • การส่งเสริมนวัตกรรม และ เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
  • การสร้าง "วัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน" (Collaborative Culture) เพื่อ "รวมพลัง" ในการขับเคลื่อนประเทศ ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน

"เชื่อมั่นว่า คนไทยเก่งและประเทศไทย ก็เก่งได้ หากเรารวมพลังกัน ร่วมแรงร่วมใจ และมุ่งมั่นที่จะ 'เปลี่ยนใหญ่'  เพื่อ 'เปลี่ยนผ่าน' ประเทศไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน"

สิ่งแวดล้อม : มิติใหม่แห่งยุทธศาสตร์ชาติ สู่พัฒนาการที่ยั่งยืน

ดร.ณัฐริกา วายุภาพ นิติพน  รองผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ระบุว่า ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาวะโลกร้อน (Global Warming)  และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)  มิได้เป็นเพียงวาระเร่งด่วนระดับโลก  หากแต่เป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตย และความมั่นคงของชาติที่ส่งผลกระทบต่อพลวัต  และพัฒนาการของประเทศไทย  ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

n

ดังนั้น  การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติเพื่อการพัฒนาประเทศ จึงมิอาจละเลยมิติสิ่งแวดล้อมอันเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ  เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และบูรณาการ ประเด็นสิ่งแวดล้อมเข้ากับนโยบายการพัฒนาในทุกมิติ  ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ  สังคม  การเมืองและความมั่นคงของชาติ  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ปัญหาสิ่งแวดล้อมมิใช่ปัญหาโดดเดี่ยว  หากแต่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องไปยังทุกภาคส่วน ทั้งภัยแล้ง อุทกภัย ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย ก่อให้เกิดภาวะความมั่นคงทางอาหาร ภาคอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากการขาดแคลนทรัพยากร และความจำเป็นในการลงทุนด้านการจัดการมลพิษ  การคมนาคมขนส่งก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน  ไม่ว่าจะเป็นการคมนาคมติดขัด และความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติก็เสื่อมโทรมลงส่งผลกระทบต่อรายได้และภาพลักษณ์ของประเทศ    

นอกจากนี้ ปัญหาสิ่งแวดล้อมยังส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน เช่น โรคระบาด และปัญหาสุขภาพจากมลพิษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข

ปัญหาสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ความมั่นคงของชาติในหลายมิติ ผลผลิตทางการเกษตรลดลง ทั้งจากภัยแล้ง อุทกภัย  และการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ขณะที่การขาดแคลนน้ำจากภัยแล้ง  และ  การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ขาดประสิทธิภาพ ก็เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางน้ำ (Water Security)   เช่นเดียวกับการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล  ที่ส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษ และความผันผวนของราคาพลังงาน  ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security)

quote06_0

การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มิใช่ 'ทางเลือก' (Option) หากแต่เป็น 'ภารกิจเร่งด่วน' เพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ  หากเราไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง  และทันท่วงที ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะทวีความรุนแรง และส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง  ต่อชีวิต  ความเป็นอยู่ และเศรษฐกิจของประเทศ

เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้บริบทสิ่งแวดล้อม ขอเสนอแนะแนวทาง  เพื่อปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน สู่ Green Energy โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน  ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล 

นอกจากนี้ ควรปฏิรูปกฎหมาย เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น เร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ. Climate Change ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว  เพื่อวางกรอบกำหนดมาตรการ  และจัดระบบการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  เช่น  การบังคับรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดเก็บภาษีคาร์บอน  และการส่งเสริม  Carbon Trading รวมถึง การส่งเสริมการปลูกป่า  และการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  ลดปัญหาโลกร้อน  และบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติ และกำหนดนโยบาย เพื่อสร้างแรงจูงใจ  และสิทธิประโยชน์ เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

โดยหวังว่าข้อเสนอแนะเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่พัฒนาการที่ยั่งยืนร่วมกัน

กองทัพไทยในยุคเปลี่ยนผ่านความท้าทาย ภารกิจ และอนาคต

พลอากาศตรี จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย รองเจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ กองทัพอากาศ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในหลากหลายมิติ ทั้งภัยคุกคามและความท้าทายรูปแบบใหม่ ที่แฝงด้วยความซับซ้อน และยากยิ่งต่อการคาดการณ์ กองทัพไทยในฐานะสถาบันหลักด้านความมั่นคง จึงจำเป็นต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือ เพื่อพิทักษ์รักษาอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

จากประสบการณ์ในการรับมือกับภัยพิบัติ เช่น อุทกภัย เป็นที่ประจักษ์ว่า ภาคเอกชน และ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) มีบทบาทสำคัญยิ่งในการให้ความช่วยเหลือ และบรรเทาความเดือดร้อน แก่ประชาชน ด้วยความคล่องตัว และ ข้อจำกัดที่น้อยกว่าหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และ NGO จึงสามารถเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว และ ทันท่วงที อีกทั้งยังมีขีดความสามารถในการระดมทรัพยากร ทั้งกำลังคน เงินทุน และสิ่งของ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีเครือข่าย และช่องทางการสื่อสาร ที่หลากหลาย เอื้ออำนวยต่อการประสานงาน และ ระดมความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที และ ครอบคลุม

อย่างไรก็ตาม การให้ความช่วยเหลือ และ ฟื้นฟู ภายหลังภัยพิบัติ เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ สิ่งสำคัญยิ่ง คือ การป้องกัน และ ลดความเสี่ยง จากภัยพิบัติ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือ และ การบูรณาการ จากทุกภาคส่วน รวมถึงการจัดการ และ ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างยั่งยืน

กองทัพไทยต้องเผชิญกับความท้าทาย และ ข้อจำกัด หลายประการ งบประมาณด้านกลาโหมมีจำกัด ส่งผลต่อการพัฒนา และ จัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ทันสมัย การประสานงาน และ การปฏิบัติการร่วม ระหว่างเหล่าทัพ ยังขาดประสิทธิภาพ และ กองทัพไทยยังขาดความคล่องตัว ในการปรับตัว และ รับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่

เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคาม และ ความท้าทายในอนาคต กองทัพไทยพึง ปรับปรุงโครงสร้าง และ ระบบการทำงาน ให้มีความคล่องตัว ทันสมัย และ มีประสิทธิภาพ พัฒนาบุคลากร ให้มีองค์ความรู้ ความสามารถ และ ทักษะ ที่จำเป็น ในการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ส่งเสริม และ พัฒนา การปฏิบัติการร่วม ระหว่างเหล่าทัพ และ นำเทคโนโลยี และ นวัตกรรม มาใช้ ในการพัฒนาขีดความสามารถ ของกองทัพ

กองทัพไทยต้องปรับตัว และ พัฒนา อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เท่าทันกับ พลวัตของโลก และ พร้อมรับมือกับภัยคุกคาม และ ความท้าทายในอนาคต โดยมุ่งเน้น การพัฒนา คน ยุทโธปกรณ์ และ ระบบ ให้มีความทันสมัย มีประสิทธิภาพ และ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างบูรณาการ เพื่อธำรงไว้ซึ่ง อธิปไตย ความมั่นคง และ ผลประโยชน์ของชาติ อย่างยั่งยืน

THAILAND NEXT เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย รับยุค Disruption!

 กองทัพไทยกับการร่วมมือเพื่อความมั่นคงแห่งชาติในอนาคต

พลอากาศตรี จักรกฤษณ์ ระบุว่า การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ และการจัดสรรทรัพยากรเพื่อความมั่นคงของชาติ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน มิใช่เพียงภาครัฐหรือกองทัพเท่านั้น แต่ต้องเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชน นักวิชาการ NGO และประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนด โจทย์ และ ทิศทาง ของประเทศ เพื่อให้เกิดความสอดคล้อง และตอบสนองต่อความต้องการของสังคมอย่างแท้จริง

กองทัพไทย ควรเป็นแกนกลางในการประสานความร่วมมือ และบูรณาการ องค์ความรู้ และ มุมมอง จากทุกภาคส่วน เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ และ จัดลำดับความสำคัญ ของการจัดสรรงบประมาณ บุคลากร และ ทรัพยากร ต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

กระผมเชื่อมั่นว่า ภาคเอกชน ภาครัฐ และประชาชนต่างมีความเข้าใจในบทบาท และความสำคัญของกองทัพในการสร้าง และธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่ภัยคุกคามมีความหลากหลาย และซับซ้อนยิ่งขึ้น การทำงานแบบบูรณาการ จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อม ในการรับมือกับความท้าทายต่างๆ

การสร้างความมั่นคงแบบองค์รวม จึงมิใช่ภารกิจของกองทัพเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือ และความเข้าใจจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันกำหนด และขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติให้บรรลุเป้าหมายมั่นคงของชาติ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้เห็นผู้นำรุ่นใหม่จากทุกภาคส่วน เข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนา และขับเคลื่อนประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 30 กว่า ซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลัง ความคิดสร้างสรรค์ และศักยภาพในการสร้างความเปลี่ยนแปลง สำหรับการเปิดกว้าง และรับฟังความคิดเห็น จากคนรุ่นใหม่ และประชาชนทุกภาคส่วนเป็นสิ่งสำคัญ ในการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ และการขับเคลื่อนประเทศ ไปข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม การสร้าง ความมั่นคงเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น การสร้างฐานรากที่เข้มแข็งจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรองรับการพัฒนา และการเติบโตในทุกมิติ กองทัพไทยพร้อมที่จะสนับสนุนและร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการสร้างความมั่นคง แบบองค์รวม เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน

38127_0

การบูรณาการมิติสิ่งแวดล้อมเข้ากับยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อนำพาประเทศไทย ไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

ดร.ณัฐริกา ได้เสนอแนวคิด และข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับการบูรณาการมิติสิ่งแวดล้อมเข้ากับยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อนำพาประเทศไทย ไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาวะโลกร้อน (Global Warming) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) มิได้เป็นเพียงวาระเร่งด่วนระดับโลก หากแต่เป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตย และความมั่นคงของชาติ ที่ส่งผลกระทบต่อพลวัต และพัฒนาการของประเทศไทย ทั้งในปัจจุบันและอนาคต  ดังนั้น การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติเพื่อการพัฒนาประเทศ จึงมิอาจละเลย มิติสิ่งแวดล้อม อันเป็นรากฐานสำคัญ ในการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ

เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ และบูรณาการประเด็นสิ่งแวดล้อมเข้ากับนโยบายการพัฒนาในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และความมั่นคงของชาติ  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยตระหนักว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อม มิใช่ปัญหาเฉพาะคนรุ่นปัจจุบัน หากแต่ส่งผลกระทบถึงลูกหลานในอนาคต ดังนั้น การดำเนินการใดๆ เพื่อแก้ไข และ ป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงมิใช่เพียง ภาระหน้าที่ หากแต่เป็น พันธกิจ ที่คนไทยทุกคนพึงตระหนัก และ ร่วมมือกัน

ปัญหาสิ่งแวดล้อมมิใช่ปัญหาโดดเดี่ยว หากแต่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ต่อเนื่องไปยังทุกภาคส่วน ภัยแล้ง อุทกภัย ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย ก่อให้เกิดภาวะความมั่นคงทางอาหาร ภาคอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น จากการขาดแคลนทรัพยากร และ ความจำเป็นในการลงทุนด้านการจัดการมลพิษ การคมนาคมขนส่งก็ได้รับผลกระทบ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการคมนาคมติดขัด และ ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ  ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ก็เสื่อมโทรมลง ส่งผลกระทบต่อรายได้ และ ภาพลักษณ์ของประเทศ  นอกจากนี้ ปัญหาสิ่งแวดล้อมยังส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน เช่น โรคระบาด และ ปัญหาสุขภาพ จากมลพิษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และ เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข

ปัญหาสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ความมั่นคงของชาติในหลากหลายมิติ  ผลผลิตทางการเกษตรลดลงจากภัยแล้ง อุทกภัย และการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร (Food Security)  ขณะที่การขาดแคลนน้ำจากภัยแล้ง และ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ขาดประสิทธิภาพ ก็เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางน้ำ (Water Security)  เช่นเดียวกับการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล ที่ส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษ และ ความผันผวนของราคาพลังงาน ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security)

การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มิใช่ทางเลือก หากแต่เป็น ภารกิจเร่งด่วน เพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ หากเราไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง และ ทันท่วงที ภัยพิบัติทางธรรมชาติ จะทวีความรุนแรง และส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง ต่อชีวิต ความเป็นอยู่ และ เศรษฐกิจของประเทศ

เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้ บริบท สิ่งแวดล้อม ดิฉันขอเสนอแนะแนวทาง ดังนี้

  • ปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน สู่ Green Energy โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พัฒนา และ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล
  • ปฏิรูปกฎหมาย เพื่อรับมือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น เร่งผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. Climate Change ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อ วางกรอบ กำหนดมาตรการ และ จัดระบบ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การบังคับรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดเก็บภาษีคาร์บอน และ การส่งเสริม Carbon Trading
  • ส่งเสริม การปลูกป่า และ การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดปัญหาโลกร้อน และ บรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติ
  • กำหนดนโยบาย เพื่อสร้างแรงจูงใจ และ สิทธิประโยชน์ เพื่อส่งเสริม และสนับสนุน ให้ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ข้อเสนอแนะเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ ต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อนำพาประเทศไทย ไปสู่ พัฒนาการที่ยั่งยืน ร่วมกัน
พลังแห่งความร่วมมือ  รากฐานสำคัญของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย

คุณฐาปน กล่าวอีกว่า การรวมตัวกันของนักศึกษา วปอ. รุ่นที่ 66 ในวันนี้ สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ ในการร่วมแรงร่วมใจ เพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติ และประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ซึ่งหัวใจสำคัญอยู่ที่พลังแห่งความร่วมมือที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

การจัดทำหนังสือ เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย นับเป็นก้าวแรกของการพัฒนาที่ยังคงต้องอาศัยความร่วมมือ และการลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น  ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และพัฒนาสังคม โดยยึดมั่นในหลักการ "ลงมือทำ" เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เช่นเดียวกับชุมชน และเศรษฐกิจฐานราก ที่ต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติเป็นพื้นฐานของการพัฒนา

ทั้งนี้ ความรู้ (Knowledge) และทักษะ (Skill) ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ซึ่งเกิดจากการลงมือปฏิบัติ และการฝึกฝนจนเกิดเป็นความเชี่ยวชาญ และสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นที่ประจักษ์ ผมขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของ ความทันสมัย ในการพัฒนาประเทศ ซึ่งมิใช่เพียงการ ล้ำสมัย จนขาด รากฐาน และอัตลักษณ์ หากแต่เป็นการ ปรับตัวและพัฒนาให้เท่าทันกับพลวัตของโลก โดยธำรงไว้ซึ่ง แก่นแท้ และ คุณค่า แห่งวัฒนธรรมไทย

ในประเด็นทางเศรษฐกิจนั้น ความมั่นคง และเสถียรภาพของประเทศ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น ทุกภาคส่วนจึงพึงร่วมมือกันเพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบสุข และความมั่นคง อนึ่ง ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็น ศูนย์กลาง ทางด้านเศรษฐกิจ และการค้าของภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ความผันผวน และความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคง และเสถียรภาพของประเทศ ดังนั้น ทุกภาคส่วนจึงพึงร่วมมือ และประสานประโยชน์เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศ​ ซึ่งเชื่อมั่นในศักยภาพ และความสามารถของคนไทย และขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกัน เปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ไทยต้อง Big Change! ไทยต้องปฏิรูปประเทศสู่ยุคดิจิทัล

ดร. กอบศักดิ์ ได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในยุคเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปอาจไม่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนประเทศในยุคปัจจุบัน จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระดับมหภาคอย่างเร่งด่วน ท่านได้ยกย่องศักยภาพของคนไทยว่ามีความสามารถไม่ด้อยกว่าชาติใด แต่การขาดการบูรณาการและระบบที่เอื้ออำนวย ทำให้ไม่สามารถใช้ศักยภาพที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ เปรียบเสมือนนักฟุตบอลระดับโลก ที่เมื่อรวมทีมแล้วกลับไม่สามารถคว้าชัยชนะได้ ซึ่งปัญหาหลักคือโครงสร้างพื้นฐานและระบบที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนา

ในอดีต ประเทศไทยอาจสามารถพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปได้ แต่ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างก้าวกระโดด การปรับตัวเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพออีกต่อไป  จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงแบบ Big Change เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมาถึงของเทคโนโลยี AI 

ดร. กอบศักดิ์ ได้เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมมือกัน โดยไม่ต้องรอภาครัฐ เพื่อร่วมกันปฏิรูปโครงสร้างประเทศ  โดยได้นำเสนอแนวทางหลัก  คือ  การเสริมสร้างฐานรากของประเทศ ซึ่งในปัจจุบันเปรียบเสมือนรากแก้วที่ผุพัง ภาคเกษตรกรรมกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจ ต้องพึ่งพางบประมาณจากรัฐบาล  เสนอให้มีการลงทุนขนาดใหญ่ในระบบชลประทาน เพื่อยกระดับพื้นที่เพาะปลูกทั่วประเทศ   การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะในชนบท ถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่จะสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ

นอกจากนี้ ยังต้องมีการปฏิรูปเศรษฐกิจ โดยภาคอุตสาหกรรมของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี จำเป็นต้องมีการปรับตัว โดยการนำเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติมาใช้ ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรมสีเขียว เปิดรับบุคลากรต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึง การปรับปรุงประสิทธิภาพภาครัฐ  โดยระบบราชการไทย กฎระเบียบ และขั้นตอนต่างๆ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ต้องเร่งรัดการพัฒนาระบบรัฐบาลดิจิทัลให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี  และยกระดับคุณภาพของข้าราชการ

ประเทศไทยมีปัญหาในการนำแผนไปปฏิบัติ เนื่องจากมีเป้าหมายที่มากเกินไปและขาดความชัดเจน ควรมีการจัดลำดับความสำคัญ กำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญไม่เกิน 10 เรื่อง ยกตัวอย่างสิงคโปร์ที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศ เนื่องจากมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและมุ่งมั่นดำเนินการจนบรรลุผลสำเร็จ ดร. กอบศักดิ์ มีความเชื่อมั่นว่า หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาและก้าวสู่การเป็นประเทศชั้นนำได้อีกครั้ง

ร่วมสร้างอนาคตประเทศไทย

ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ  การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ถาโถมเข้ามา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงนี้  เรียกได้ว่าเป็น The Great Disruption ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน  ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง  และเทคโนโลยี ดังนั้น  การเตรียมความพร้อมรับมือและปรับตัวให้เท่าทันกระแสการเปลี่ยนแปลง จึงเป็นภารกิจเร่งด่วน  เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่ The Great Transition หรือการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ  ที่จะสร้างความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

THAILAND NEXT เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย  มิได้เป็นเพียงวาทกรรม แต่เป็นพันธกิจแห่งชาติที่เรียกร้องความร่วมมือจากทุกภาคส่วน  ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและประชาชน โดยต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างอย่างเป็นรูปธรรม การเปลี่ยนแปลงที่ประเทศไทยต้องการ มิใช่การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้องเป็น Big Change  ที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และทันท่วงที เพื่อรับมือกับความท้าทายในยุคใหม่

เราต้องซ่อมแซมฐานราก เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ  ทั้งในด้านเศรษฐกิจโ ดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม  ด้านสังคม โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน  และด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ เราต้องปฏิรูประบบราชการ  ลดขั้นตอนที่ซับซ้อน  ยกระดับความโปร่งใส  และเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้ภาครัฐเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ เราต้อง  เสริมสร้างศักยภาพกองทัพ ให้มีความทันสมัย  มีประสิทธิภาพ และพร้อมรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่  เพื่อธำรงไว้ซึ่งอธิปไตย  ความมั่นคง และผลประโยชน์ของชาติ และเราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทาย ในหลากหลายมิติ  ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาด หรือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ

แม้คนไทย จะมีศักยภาพในระดับบุคคล  แต่เราต้องรวมพลังกันให้เข้มแข็งระดมสรรพกำลัง ความรู้ความสามารถ และทรัพยากร  เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า พลังแห่งความร่วมมือ คือ รากฐานสำคัญ ที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่ ประเทศไทยยุคใหม่ ที่เข้มแข็ง  มั่นคง  ยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทย และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน  ประเทศไทยจะสามารถก้าวข้ามผ่านความท้าทาย เพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างแน่นอน

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT